แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การกระทำผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคารและพระราชบัญญัติควบคุมอาคารนั้นเทศบาลหรือทางราชการเป็นผู้เสียหายเป็นเรื่องของเทศบาลหรือทางราชการที่จะเข้าควบคุมฟ้องร้องเอาเอง โจทก์ร่วมซึ่งเป็นราษฎรหรือเอกชนไม่ใช้ผู้เสียหาย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คดีที่ฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนการที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องแล้ววินิจฉัยผลักหน้าที่ให้จำเลยสืบแก้ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ผิดกฎหมายเพราะในปัญหาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบ ศาลฎีกาจึงมีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้
ย่อยาว
คดีทั้งเจ็ดสำนวนนี้ ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ฟ้องจำเลยทุกสำนวนในทำนองเดียวกันว่า จำเลยแต่ละสำนวนได้ปลูกสร้างดัดแปลงอาคารตึกแถว โดยต่อเติมขยายพื้นที่ด้านหลังอาคารตึกแถวชั้นล่างของจำเลยแต่ละห้องเป็นเพิงลาดมีหลังคากว้าง 3 เมตร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามกฎหมายและการดัดแปลงต่อเติมอาคารของจำเลยแต่ละสำนวนดังกล่าวได้บุกรุกเข้าไปในโฉนดที่ดินของโจทก์ร่วมเพื่อถือการครอบครองที่ดินที่ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำนั้นทั้งหมดและเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ร่วม ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365 (3) พระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2479ฯลฯ พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
จำเลยทั้งเจ็ดให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา บริษัท เค.เอส.ทรัสต์ จำกัด ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งเจ็ดมีความผิดฐานบุกรุกลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365 (3) จำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 มีความผิดลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2479 มาตรา 6, 11 ฯลฯ
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 6 ฐานดัดแปลงต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยทั้ง 7 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องในข้อหาต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตสำหรับจำเลยที่ 7 และยกฟ้องในข้อหาบุกรุกสำหรับจำเลยทุกคน
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 7 ในข้อหาดัดแปลงต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต และลงโทษจำเลยทั้งเจ็ดในข้อหาบุกรุก
โจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7 ฐานดัดแปลงต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต และลงโทษจำเลยทั้งเจ็ดฐานบุกรุก
จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ฎีกาขอให้ยกฟ้องในความผิดฐานดัดแปลงต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อที่โจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7 ตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคารและพระราชบัญญัติควบคุมอาคารนั้น การกระทำผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวเทศบาลหรือทางราชการเป็นผู้เสียหาย เป็นเรื่องของเทศบาลหรือทางราชการที่จะเข้าควบคุมฟ้องร้องเอาเอง โจทก์ร่วมซึ่งเป็นราษฎรหรือเอกชนไม่ใช่ผู้เสียหาย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ในปัญหาว่าจำเลยที่ 7 มีความผิดฐานดัดแปลงต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 7 มิได้ดัดแปลงต่อเติมอาคารจำเลยที่ 7 จึงไม่มีความผิด
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์ในข้อหาดัดแปลงต่อเติมอาคารสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 5 ขาดอายุความหรือไม่นั้น ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ว่าตามฟ้องของโจทก์คดีของโจทก์ ไม่ขาดอายุความจำเลยมิได้นำสืบให้ปรากฏว่าได้มีการต่อเติมอาคารเมื่อไร จึงยังไม่พอฟังว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เห็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เป็นหน้าที่โจทก์จะต้องนำสืบศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณา จึงไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะฟังตามฟ้องแล้ววินิจฉัยผลักหน้าที่มาให้จำเลยสืบแก้ตัว เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ผิดกฎหมาย ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรฟังข้อเท็จจริงใหม่ แล้วฟังว่าคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ในความผิดฐานดัดแปลงต่อเติมอาคารขาดอายุความ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7 ขาดเจตนาบุกรุกจึงไม่มีความผิดฐานบุกรุกตามฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ทราบดีว่าที่ดินพิพาทหลังตึกแถวเป็นของโจทก์ร่วมเพราะจำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 5 ซื้อที่ดินจากโจทก์ร่วมโดยตรง การที่จำเลยทั้งสามต่อเพิงเป็นลักษณะถาวรออกไปในที่พิพาทย่อมเป็นเจตนาเพื่อถือการครอบครองที่ดินบริเวณที่ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำทั้งหมดเป็นของจำเลยทั้งสาม จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (3)
พิพากษาแก้ ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 5 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365 (3) แต่ให้ยกฟ้องในข้อหาดัดแปลงหรือต่อเติมอาคาร