คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2921/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของโจทก์ โจทก์ได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุด ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ถูกจำคุกอยู่นั้นภริยาและบุตรของจำเลยที่ 1 ยังคงอยู่ในบ้านและทำไร่ทำนาในที่ดินพิพาทตลอดมา แม้ภริยาและบุตรของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1จะได้ครอบครองที่ดินพิพาทในระหว่างที่โจทก์ดำเนินคดีอาญาต่อจำเลยที่ 1 ก็ตามจะถือว่าเป็นการครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 หาได้ไม่ เพราะเป็นเพียงการครอบครองแทนผู้ชนะคดีเท่านั้น เมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ภายหลังที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่เกิน1 ปี จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 131 และเลขที่ 140 เมื่อปี 2527 จำเลยทั้งสองถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกข้อหาบุกรุก หลังจากพ้นโทษแล้วจำเลยทั้งสองได้มาบุกรุกที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงดังกล่าวอีก เป็นเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินแล้วแต่จำเลยทั้งสองไม่ยอม ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดิน และส่งมอบให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยได้ครอบครองและทำประโยชน์ปลูกบ้านและไม้ผลยืนต้นไว้ในที่ดินพิพาทมานานแล้ว แม้จำเลยทั้งสองจะถูกจำคุกตามคำพิพากษาของศาลนี้แต่บริวารของจำเลยก็ยังครอบครองที่ดินพิพาทแทนตลอดมาโดยเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี จนได้สิทธิครอบครองตามกฎหมายแล้ว โจทก์มิได้ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 131 และ 140 ห้ามมิให้เข้าไปเกี่ยวข้องที่ดินดังกล่าวอีก ให้จำเลยส่งมอบที่ดินให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อปี 2526 จำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าครอบครองที่ดินเป็นของตนตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 131 และเลขที่140 คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ 1 งาน ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมายจ.6 โจทก์ได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 1 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1852/2528 ของศาลชั้นต้น ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ถูกจำคุกอยู่นั้นภริยาและบุตรของจำเลยที่ 1 ยังคงอยู่ในบ้านและทำไร่ทำนาในที่ดินพิพาทตลอดมาจนถึงปัจจุบันมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1แย่งการครอบครองที่ดินตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.6 จนได้สิทธิครอบครองแล้วหรือไม่ และโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ระหว่างที่จำเลยที่ 1 ถูกจำคุกอยู่นั้นบุตรและภริยาของจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนกระทั่งจำเลยที่ 1 พ้นโทษ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2529 จำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเกิน1 ปีแล้วจำเลยที่ 1 จึงได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่าแม้บุตรและภริยาของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 จะได้ครอบครองที่ดินพิพาทในระหว่างที่โจทก์ดำเนินคดีอาญากล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกครอบครองที่พิพาทของโจทก์ก็ตาม แต่ก็จะถือว่าเป็นการครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367หาได้ไม่ เพราะเป็นเพียงการครอบครองแทนผู้ชนะคดีเท่านั้น และปรากฏว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีอาญาเมื่อวันที่20 พฤศจิกายน 2529 การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 คดีนี้เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2530 จึงยังไม่เกิน 1 ปี จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share