คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4097/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แบ่งแยกที่ดินพิพาทและบ้าน 3 หลัง บนที่ดินแก่โจทก์ตามส่วนในคำพิพากษา ถ้าไม่สามารถตกลงกันได้ก็ให้ประมูลกันในระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เอาเงินแบ่งให้โจทก์ตามส่วน หากการประมูลไม่ตกลงกัน ก็ให้นำออกขายทอดตลาด เอาเงินสุทธิแบ่งให้โจทก์ตามส่วน ทั้งได้ส่งคำบังคับแก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 โดยวิธีปิดคำบังคับ โดยชอบแล้ว ข้อความในคำพิพากษาและคำบังคับแสดงอยู่ในตัวว่าการตกลงแบ่งทรัพย์สินกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ที่ 3ที่ 4 ดังกล่าวจะต้องเป็นการตกลงแบ่งทั้งที่ดินพิพาทและบ้านพิพาท เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ตกลงยินยอมแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์ตามส่วนในอัตราตารางวาละ 15,000 บาทแต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ไม่ตกลงแบ่งบ้านพิพาทให้โจทก์ตามส่วน โดยคำนวณราคารวมที่ดินพิพาทเป็นเงิน 500,000 บาทตามที่โจทก์เรียกร้อง จึงถือว่าโจทก์และจำเลยที่ 2 ที่ 3ที่ 4 ยังไม่อาจตกลงกันในชั้นบังคับคดีได้ครบทุกข้อกรณีจึงต้องบังคับตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ว่า การแบ่งแยกที่ดินพิพาทและบ้านพิพาท 3 หลัง ถ้าไม่สามารถตกลงกันได้ก็ให้ประมูลกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4เอาเงินแบ่งให้โจทก์ตามส่วน หากการประมูลไม่ตกลงกันก็ให้นำออกขายทอดตลาดเอาเงินสุทธิแบ่งให้โจทก์ตามส่วน

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ให้แบ่งมรดกแก่โจทก์ตามส่วน ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้แบ่งที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 800 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมาจังหวัดนครราชสีมา กับบ้านเลขที่ 391/4, 391/7 และ 391/8ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินพิพาทออกเป็น 18 ส่วน เป็นทรัพย์มรดกของนายพวง คงหมื่นไวย์ ครึ่งหนึ่งจำนวน 9 ส่วน ซึ่งตกเป็นมรดกแก่โจทก์ 1 ส่วน ให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จดทะเบียนให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมด้วย 1 ใน 18 ส่วน หากฝ่าฝืนก็ให้ดำเนินการจดทะเบียนได้โดยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 การแบ่งแยกที่ดินพิพาทและบ้าน 3 หลังข้างต้นถ้าไม่สามารถตกลงกันได้ก็ให้ประมูลกันในระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เอาเงินแบ่งให้โจทก์ตามส่วน หากการประมูลไม่ตกลงกันก็ให้นำออกขายทอดตลาดเอาเงินสุทธิแบ่งให้โจทก์ตามส่วนต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าโจทก์และทายาทอื่นไม่สามารถตกลงกับจำเลยได้ ขอให้บังคับคดีโดยยึดที่ดินและบ้านพิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินที่ขายได้มาแบ่งเป็น 18 ส่วน ให้โจทก์ 1 ส่วน ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองยังไม่ได้ทำความตกลงในเรื่องการแบ่งแยกที่ดินและบ้านพิพาท จำเลยทั้งสี่ยังมิได้ปฏิบัติผิดขั้นตอนตามคำพิพากษา ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งออกหมายบังคับคดีเพื่อตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์พิพาทออกประมูลระหว่างคู่ความหรือขายทอดตลาดนั้นเป็นการไม่ชอบ ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการออกหมายบังคับคดีและงดการบังคับคดีไว้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีถึงที่สุดแล้ว และตามคำพิพากษาศาลฎีกาได้กำหนดวิธีการให้เป็นไปตามคำพิพากษาหลายแบบ ถ้าไม่สามารถทำตามแบบแรก ๆ ได้ให้นำทรัพย์ออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ตามส่วนจึงไม่อนุญาตให้งดการบังคับคดี ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนคำร้องของจำเลยทั้งสี่ แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ศาลชั้นต้นนัดพร้อมเพื่อไต่สวนคำร้องของจำเลยทั้งสี่ ได้สอบถามคู่ความ จำเลยเสนอให้ราคาที่ดินพิพาทตามราคาประเมินตารางวาละ 12,000 บาทโจทก์ว่าราคาที่ซื้อขายกันจริง ๆ ตารางวาละ 15,000 บาทจำเลยตกลงให้ราคาตารางวาละ 15,000 บาท เป็นราคาที่ตกลงกันสำหรับบ้านพิพาทให้โจทก์ประเมินราคา โจทก์ขอค่าบ้านและที่ดินเป็นเงิน 500,000 บาท จึงจะยินยอม จำเลยคำนวณราคาที่ดินที่โจทก์ต้องการตารางวาละ 15,000 บาท แล้วโจทก์จะได้เงินประมาณ 90,000 บาท ส่วนบ้านพิพาทราคาไม่ถึงจำนวนที่โจทก์ต้องการศาลชั้นต้นสั่งว่าเมื่อคู่กรณีไม่สามารถตกลงกันได้ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาฎีกาตอนท้ายโดยให้นำทรัพย์พิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามส่วนต่อไปและสั่งออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี
จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องลงวันที่ 11 ธันวาคม 2532 ว่าในวันไต่สวนคำร้อง โจทก์และจำเลยทั้งสี่ตกลงกันได้โดยจำเลยทั้งสี่ตกลงใช้ราคาที่ดินแก่โจทก์ตารางวาละ 15,000 บาทรวมเป็นเงิน 98,500 บาท ซึ่งถือได้ว่าเกิดเป็นสัญญาผูกพันกันตามกฎหมาย การแบ่งปันทรัพย์สินจึงตกลงกันได้ขอให้งดการขายที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามคำร้องยังไม่มีเหตุให้งดการขายทอดตลาด จึงให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่าสมควรงดการบังคับคดีหรือไม่โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ฎีกาว่า เดิมศาลฎีกาพิพากษาให้แบ่งที่ดินพิพาทกับบ้านพิพาท 3 หลัง แก่โจทก์ 1 ใน 18 ส่วนเท่านั้น ไม่ได้กำหนดให้แบ่งรายการใดก่อนหรือพร้อมกันเมื่อโจทก์และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ได้เจรจาตกลงเป็นสัญญากันตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2532และวันที่ 4 ธันวาคม 2532 แล้วว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ตกลงชดใช้เงินค่าที่ดินพิพาทแก่โจทก์ในราคาตารางวาละ 15,000 บาทจึงเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 ประกอบมาตรา 850, 852 และเป็นเหตุสมควรให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการบังคับคดี ตามคำร้องลงวันที่ 6 มิถุนายน 2531 เห็นว่าตามคำพิพากษาฎีกาที่ 4539/2530 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีผลว่าให้แบ่งแยกที่ดินพิพาทและบ้าน 3 หลัง บนที่ดินแก่โจทก์ตามส่วนในคำพิพากษา ถ้าไม่สามารถตกลงกันได้ก็ให้ประมูลกันในระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เอาเงินแบ่งให้โจทก์ตามส่วน หากการประมูลไม่ตกลงกันก็ให้นำออกขายทอดตลาดเอาเงินสุทธิแบ่งให้โจทก์ตามส่วน ทั้งได้ส่งคำบังคับลงวันที่4 กุมภาพันธ์ 2531 แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 โดยวิธีปิดคำบังคับโดยชอบแล้ว เห็นได้ชัดว่าข้อความในคำพิพากษาและคำบังคับแสดงอยู่ในตัวว่า การตกลงแบ่งทรัพย์สินกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ดังกล่าวจะต้องเป็นการตกลงแบ่งทั้งที่ดินพิพาทและบ้านพิพาท เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ตกลงยินยอมแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์ตามส่วนในอัตราตารางวาละ 15,000 บาทแต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ไม่ตกลงแบ่งบ้านพิพาทให้โจทก์ตามส่วนโดยคำนวณราคารวมที่ดินพิพาทเป็นเงิน 500,000 บาท ตามที่โจทก์เรียกร้อง จึงถือว่าโจทก์และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4ยังไม่อาจตกลงกันในชั้นบังคับคดีได้ครบทุกข้อ กรณีจึงต้องบังคับตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ว่า การแบ่งแยกที่ดินพิพาทและบ้านพิพาท3 หลัง ถ้าไม่สามารถตกลงกันได้ก็ให้ประมูลกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เอาเงินแบ่งให้โจทก์ตามส่วน หากการประมูลไม่ตกลงกันก็ให้นำออกขายทอดตลาดเอาเงินสุทธิแบ่งให้โจทก์ตามส่วน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน

Share