คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1298/2524

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คู่ความยอมความและศาลพิพากษาตามยอม โจทก์อุทธรณ์อ้างว่าถูกจำเลยฉ้อฉล แต่ตามข้ออุทธรณ์เป็นการอ้างความสำคัญผิดซึ่งมีมาตั้งแต่ก่อนฟ้อง เพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์ คำพิพากษาตามยอมจึงเสร็จเด็ดขาดต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 ไม่มีประโยชน์ที่จะให้โจทก์นำสืบตามข้อกล่าวอ้าง

ย่อยาว

โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินและพิพาทกับจำเลยเรื่องเขตที่ดินโดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลว่า

“ข้อ 1. จำเลยยอมรับว่าที่ดินพิพาทตามแผนที่กลางเป็นของโจทก์เฉพาะตรงบ่อน้ำซึ่งปรากฏอยู่ในแผนที่กลาง ตกลงให้วัดระยะจากบ่อไปทางทิศตะวันตกของบ่อไป 2.60 เมตร และเมื่อรวมกับทิศตะวันออกของบ่ออีก 17.40 เมตร รวมเป็นความกว้างของที่พิพาทตรงบริเวณบ่อน้ำ 20 เมตร

ข้อ 2. โจทก์ตกลงตามข้อ 1 . ไม่ติดใจเรียกร้องนอกเหนือจากนี้

ข้อ 3. ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความนอกจากที่ศาลสั่งคืนตกลงให้เป็นพับ

ข้อ 4. คู่ความตกลงกันว่าที่ดินภายในเส้นสีเขียวด้านทิศตะวันตกของที่พิพาทเป็นของจำเลย ที่ดินภายในเส้นสีเขียวด้านทิศตะวันออกของที่พิพาทเป็นของโจทก์”

ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ย่อมจะทราบดีว่าที่พิพาทมีอาณาเขตเพียงใดก่อนเริ่มพิจารณาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานศาลไปทำแผนที่พิพาทโจทก์ก็เป็นผู้นำชี้เขตที่พิพาท เมื่อเจ้าพนักงานทำแผนที่เสร็จ ซึ่งเรียกว่าแผนที่กลาง โจทก์ก็ลงชื่อรับรองว่า แผนที่นั้นถูกต้องแล้ว ตามแผนที่กลางปรากฏว่าที่พิพาทคือที่ดินภายในเส้นสีแดงในที่พิพาทมีบ่อน้ำ 1 บ่อ เจ้าพนักงานศาลผู้ทำแผนที่บันทึกไว้ว่า ลักษณะของบ่อน้ำเป็นบ่อที่ขุดลึกแต่ไม่มีขอบยกเหนือพื้นดิน ในวันทำแผนที่มีน้ำในบ่อ ที่ปากบ่อมีต้นเสม็ดขึ้นอยู่ จากบ่อน้ำไปทางทิศตะวันออกถึงเขตที่พิพาทห่าง 17.40 เมตร จากบ่อน้ำไปทางทิศตะวันตกถึงเขตกลางถนนห่าง 32 เมตร เมื่อโจทก์อ้างตนเองเข้าเบิกความเป็นพยานก็มิได้โต้แย้งว่าแผนที่กลางไม่ถูกต้อง ก่อนที่จะมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์และจำเลยยังได้นำเจ้าพนักงานศาลไปทำการรังวัดที่ดินอีกครั้งหนึ่ง คงปรากฏเช่นเดิมว่าบ่อน้ำอยู่ในที่พิพาทห่างจากแนวเขตด้านทิศตะวันออก 17.40 เมตร ตรงตามแผนที่กลางที่โจทก์รับรองไว้แล้ว ถึงหากศาลจะพิจารณาคดีนี้ไปและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ก็คงได้ที่พิพาทตามแผนที่กลางซึ่งมีบ่อน้ำรวมอยู่ด้วย ไม่มีทางจะเปลี่ยนแปลงบ่อน้ำออกไปอยู่นอกที่พิพาทได้ ดังนั้น ที่โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยกำหนดเขตที่พิพาทส่วนที่เป็นของโจทก์โดยอาศัยบ่อน้ำเป็นหลัก จึงเป็นการแสดงเจตนาด้วยความสมัครใจ โจทก์จะอ้างว่าจำเลยทำกลอุบายหลอกลวงฉ้อฉลโจทก์ให้สำคัญผิดหาได้ไม่ หากโจทก์จะสำคัญผิดก็สำคัญผิดมาตั้งแต่ก่อนฟ้องเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์เอง มิใช่เพราะจำเลยฉ้อฉลโจทก์แต่อย่างใด คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และจำเลยจึงเป็นอันเสร็จเด็ดขาดแล้วโดยต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138

ที่โจทก์ฎีกาว่า เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าถูกจำเลยให้กลฉ้อฉลก็ชอบที่จะให้โอกาสโจทก์นำสืบพิสูจน์ตามข้อกล่าวอ้าง การที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดว่า เป็นกรณีตามสำคัญผิด ไม่ใช่กลฉ้อฉล โดยไม่ให้โอกาสโจทก์นำสืบพิสูจน์ เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายและกระบวนพิจารณานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏโดยชัดแจ้งอยู่แล้วว่าโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยด้วยความสมัครใจ มิใช่เพราะจำเลยฉ้อฉลถึงหากโจทก์จะสำคัญผิดก็ไม่มีผลกระทบกระทั่งถึงความสมบูรณ์ของสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมให้คดีเป็นอันเสร็จ

Share