แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงสภาพแห่งข้อหาว่า จำเลยปลอมหนังสือมอบอำนาจ และใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมนั้นยื่นเรื่องราวขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจดทะเบียนยกที่พิพาทให้จำเลยจนเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อ ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้จำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาก็คือที่พิพาทเป็นของโจทก์ ได้มาโดยการส่งมอบให้เป็นการชำระหนี้เงินกู้และมีคำขอบังคับให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้จำเลยโดยอาศัยเอกสารปลอม ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาท ดังนี้คำฟ้องได้แสดงโดยชัดแจ้ง ซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสองแล้ว การที่จำเลยยื่นเรื่องราวขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทเป็นชื่อ โจทก์ แล้วโอนที่พิพาทมาเป็นของจำเลย โดยอาศัยหนังสือมอบอำนาจปลอมว่าโจทก์มอบอำนาจให้กระทำการดังกล่าว จนเจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้จำเลยนั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาท โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีได้แม้เกิน 1 ปีนับแต่วันที่ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้จำเลย.
ย่อยาว
สำนวนแรก โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาท จำเลยได้ทำหนังสือมอบอำนาจปลอมว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยยื่นเรื่องราวขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจดทะเบียนยกที่ดินดังกล่าวให้จำเลย เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง จึงได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้เป็นชื่อโจทก์ แล้วจดทะเบียนโอนให้จำเลยในวันเดียวกัน ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท
จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทในสำนวนแรกและได้ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว จำเลยเข้าแย่งการครอบครองที่พิพาททำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทและให้ชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเมื่อสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยในสำนวนแรกเสร็จแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ในสำนวนแรก ห้ามจำเลยในสำนวนแรกและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และให้ยกฟ้องโจทก์ในสำนวนหลัง
จำเลยในสำนวนแรกและโจทก์ในสำนวนหลังอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยในสำนวนแรกและโจทก์ในสำนวนหลังฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาประเด็นข้อแรกว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายว่า จำเลยแย่งการครอบครองหรือเข้าไปรบกวนการครอบครองของโจทก์ แต่กลับมีคำขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ขับไล่จำเลยและบริวารเป็นการขัดกันนั้น เห็นว่าคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงสภาพแห่งข้อหาว่า จำเลยปลอมหนังสือมอบอำนาจและใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมนั้นยื่นเรื่องราวขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจดทะเบียนยกที่พิพาทให้จำเลย จนเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้จำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาก็คือที่พิพาทเป็นของโจทก์ ได้มาโดยการส่งมอบให้เป็นการชำระหนี้เงินกู้ ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อตามแผนที่สังเขปและแบบแจ้งการครอบครองที่ดินท้ายฟ้อง และมีคำขอบังคับให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้จำเลยโดยอาศัยเอกสารปลอมให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาท คำฟ้องได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172วรรคสองแล้ว กรณีหาจำต้องบรรยายข้อความว่าจำเลยแย่งการครอบครองหรือรบกวนการครอบครองของโจทก์อีกไม่ และสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ก็ไม่ขัดกับคำขอบังคับแต่อย่างใด ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น…
ที่จำเลยฎีกาประเด็นข้อสุดท้ายว่า โจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง เพราะจำเลยแสดงเจตนาครอบครองที่พิพาทโดยโอนที่พิพาทมาเป็นของจำเลยตั้งแต่พ.ศ. 2520 นั้น เห็นว่า การที่จำเลยยื่นเรื่องราวขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทเป็นชื่อโจทก์แล้วโอนที่พิพาทมาเป็นของจำเลยโดยอาศัยหนังสือมอบอำนาจปลอมว่าโจทก์มอบอำนาจให้กระทำการดังกล่าว จนเจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้จำเลยเมื่อวันที่4 สิงหาคม 2520 นั้นยังถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาททั้งปรากฏว่าเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2524 จำเลยยื่นแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2525 ถึงปี พ.ศ. 2528ก็ระบุว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทตามเอกสารหมาย จ.12 เท่ากับจำเลยยอมรับว่า โจทก์ยังเป็นผู้ครอบครองที่พิพาท เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้เข้าครอบครองที่พิพาทเพราะนายสีซึ่งทำนาในที่พิพาทเบิกความยืนยันว่าเช่าที่พิพาทจากโจทก์กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีได้แม้จะเกิน 1 ปี นับแต่วันที่ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจะทะเบียนโอนที่พิพาทให้จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ยังมีสิทธิฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน”
พิพากษายืน.