คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2914/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การดายหญ้าในเขตป่าสงวนแห่งชาติคือการก่นสร้างหรือแผ้วถางในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม้จำเลยจะกระทำโดยรับจ้างหรือถูกใช้ให้กระทำ ก็ต้องถือว่าจำเลยเป็นตัวการในการกระทำความผิดนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83หาใช่จะถือว่าผู้รับจ้างไม่มีเจตนาที่จะแผ้วถางป่าไม่
จอบที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดต้องริบตามมาตรา35แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันยึดถือครอบครองและแผ้วถางป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ขอให้ลงโทษ ริบของกลาง และออกจากป่า

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอง ริบของกลาง และให้จำเลยออกจากป่าที่แผ้วถาง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2ให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1 คืนจอบของกลางแก่จำเลยที่ 2

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องแรกว่า บริเวณที่จำเลยทั้งสองทำการดายหญ้านั้นอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยทั้งสองเองก็ยอมรับว่าได้ร่วมกันดายหญ้าอยู่ในที่เกิดเหตุนั้นจริง การที่จำเลยทั้งสองทำการดายหญ้าในเขตป่าสงวนก็คือการก่นสร้างหรือแผ้วถางในเขตป่าสงวน ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 14, 31 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 นั่นเอง แม้จำเลยจะกระทำโดยรับจ้างหรือถูกใช้ให้กระทำโดยใครก็ตามก็ต้องถือว่าจำเลยเป็นตัวการในการกระทำความผิดนั้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 หาใช่ว่าจะถือว่าผู้รับจ้างไม่มีเจตนาที่จะแผ้วถางป่าดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ และจอบของกลางที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดก็ย่อมต้องริบตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507

อนึ่งตามที่ศาลอุทธรณ์เห็นควรให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1ไว้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องตามที่โจทก์ฎีกาว่า การทำลายป่าสงวนแห่งชาติเป็นความผิดที่ร้ายแรงทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวงซึ่งไม่ควรรอการลงโทษให้จำเลย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้อง

Share