แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การดายหญ้าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ่คือการก่อสร้างหรือแผ้วถางในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แม้จำเลยจะกระทำโดยรับจ้างหรือถูกใช้ให้กระทำ ก็ต้องถือว่าจำเลยเป็นตัวการในการกระทำความผิดนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 หาใช่จะถือว่าผู้รับจ้างไม่มีเจตนาที่จะแผ้วถางป่าไม้
จอบที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด ต้องริบตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันยึดถือครอบครอง และแผ้วถางป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ขอให้ลดโทษ ริบของกลาง และออกจากป่า
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอง ริบของกลาง และให้จำเลยออกจากป่าที่แผ้วถาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒ ให้รอการลงโทษจำเลยที่ ๑ คือจอบของกลางแก่จำเลยที่ ๒
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องแรกว่า บริเวณที่จำเลยทั้งสองทำการดายหญ้านั้นอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยทั้งสองเองก็ยอมรับว่าได้ร่วมกันดายหญ้าอยู่ในที่เกิดเหตุนั้นจริง การที่จำเลยทั้งสองทำการดายหญ้าในเขตป่าสงวนก็คือ การก่อสร้างหรือแผ้วถางในเขตป่าสงวน ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔, ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ นั่นเอง แม้จำเลยจะกระทำโดยรับจ้าง หรือถูกใช้ให้กระทำโดยใครก็ตามก็ต้องถือว่าจำเลยเป็นตัวการในการกระทำความผิดนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๔๓ หาใช่ว่าจะถือว่าผู้รับจ้างไม่มีเจตนาที่จะแผ้วถางป่าดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ และจอบของกลางที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดก็ย่อมต้องริบตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗
อนึ่งตามที่ศาลอุทธรณ์เห็นควรให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องตามที่โจทก์ฎีกาว่า การทำลายป่าสงวนแห่งชาติเป็นความผิดที่ร้ายแรง ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ซึ่งไม่ควรรอการลงโทษให้จำเลยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้อง