คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2906/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัท ก. โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 เช่าโรงงานของบริษัทก. โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการชำระค่าเช่าและค่าเสียหาย กรณีต้องถือว่าบริษัทก. เลิกประกอบกิจการโรงงานในวันที่ให้เช่าแล้วตามพระราชบัญญัติโรงงานฯมาตรา 31 วรรคหนึ่ง และในวันเดียวกันนั้นใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานของบริษัทก. ก็เป็นอันสิ้นอายุลงตามมาตรา 16 ด้วย ซึ่งการต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานต้องกระทำโดยผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานและต้องกระทำก่อนที่ใบอนุญาตสิ้นอายุตามมาตรา 17 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อสัญญาเช่ากำหนดให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการต่อใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานในนามของบริษัท ก. และใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานของบริษัท ก. สิ้นอายุลงแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาเช่าได้เพราะขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย ข้อสัญญาเช่าดังกล่าวจึงมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้ง โดยกฎหมายย่อมเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 จำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ให้จำเลยที่ 1 เช่าทรัพย์สินของบริษัทกรรณสูต เจเนอรัลแอสเซมบลี จำกัด โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันในวงเงินไม่เกิน 56,000,000 บาทหลังจากทำสัญญาแล้วจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญาคือ ไม่ดำเนินการประกอบรถยนต์ในรุ่นต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดอย่างน้อยรุ่นละ 1 คัน และไม่ได้ต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานและใบอนุญาตประกอบรถยนต์นั่งประจำปี 2532 และ 2533 ในนามของบริษัทกรรณสูต เจเนอรัล แอสเซมบลี จำกัด จำเลยที่ 1 จึงผิดสัญญาต้องชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 50,000,000 บาทแก่โจทก์ โจทก์มีหนังสือทวงถามแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 50,000,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 2 มีนาคม 2533จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 15,154,109.59 บาท และนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้ผิดสัญญา เพราะจำเลยที่ 1 ได้ดำเนินการขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานและใบอนุญาตประกอบรถยนต์นั่งในนามบริษัทกรรณสูต เจเนอรัล แอสเซมบลี จำกัด แล้ว แต่ไม่สามารถกระทำได้ เพราะตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 มาตรา 31 กำหนดว่า หากมีการให้เช่าโรงงานให้ถือว่า ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานเลิกประกอบกิจการโรงงานตั้งแต่วันที่ให้เช่า นอกจากนี้ในการประกอบรถยนต์จำเลยที่ 1 ต้องอาศัยสิทธิของบริษัทกรรณสูต เจเนอรัล แอสเซมบลี จำกัดนำเข้าชิ้นส่วน ซี เค ดี จากต่างประเทศแต่เมื่อตามกฎหมายให้ถือว่าบริษัทกรรณสูตเจเนอรัล แอสเซมบลี จำกัด เลิกประกอบกิจการโรงงานแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่สามารถจัดหาและนำเข้าชิ้นส่วน ซี เค ดี ได้ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายและไม่เคยมีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแต่อย่างใด ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่บรรยายให้ชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาในเรื่องอะไร และจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์เสียหายอย่างไร ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ แต่จำเลยที่ 1ไม่ผิดสัญญาและสัญญาเช่า สัญญาข้อ 7 ไม่มีข้อตกลงว่าจำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าเสียหายจำนวน 50,000,000 บาท แก่โจทก์ ส่วนสัญญาข้อ 8 จำเลยที่ 1 ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะข้อสัญญาขัดต่อพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 มาตรา 31 โจทก์ไม่เคยมีหนังสือทวงถาม จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า บริษัทกรรณสูต เจเนอรัล แอสเซมบลีจำกัด เป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานและเป็นเจ้าของที่ดินอาคารโรงงานและเครื่องจักรซึ่งตั้งอยู่ที่เลขที่ ก-27-36 การนิคมอุตสาหกรรมบางชัน ถนนสุขาภิบาล 2 แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2530 บริษัทกรรณสูตเจเนอรัล แอสเซมบลี จำกัด ถูกพิทักษ์ทรัพย์ เด็ดขาดตามหมายแจ้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเอกสารหมาย จ.1 อำนาจในการจัดการทรัพย์สินจึงอยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ต่อมาวันที่ 18 พฤศจิกายน2531 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทกรรณสูต เจเนอรัล แอสเซมบลี จำกัด ให้จำเลยที่ 1 เช่าทรัพย์สินของบริษัทกรรณสูต เจเนอรัล แอสเซมบลี จำกัด ดังกล่าวตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.5 จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการชำระค่าเช่าและค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าต่อโจทก์ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.8สัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 8 กำหนดให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานและใบอนุญาตประกอบรถยนต์นั่งในนามของบริษัทกรรณสูตเจเนอรัล แอสเซมบลี จำกัด แต่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถดำเนินการได้ตามสัญญา มีปัญหาข้อกฎหมายวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการเดียวว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่า เอกสารหมาย จ.5 ข้อ 8 และจำเลยทั้งสองต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์ให้จำเลยที่ 1 เช่าโรงงานต้องถือว่าบริษัทกรรณสูต เจเนอรัล แอสเซมบลี จำกัด เลิกประกอบกิจการโรงงานในวันที่ให้เช่าคือวันที่ 18 พฤศจิกายน 2531 ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 มาตรา 31 วรรคหนึ่ง ซึ่งใช้บังคับในขณะนั้น และในวันเดียวกันนั้นใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานของบริษัทกรรณสูต เจเนอรัล แอสเซมบลี จำกัดก็เป็นอันสิ้นอายุลงตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 มาตรา 16 การต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานต้องกระทำโดยผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานและต้องทำการก่อนวันที่ใบอนุญาตสิ้นอายุตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 มาตรา 17 วรรคหนึ่ง แต่สัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 8 กำหนดให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการขอต่อใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานของบริษัทกรรณสูต เจเนอรัลแอสเซมบลี จำกัด สิ้นอายุลงแล้วในวันทำสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.5 จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาเช่าดังกล่าวได้ เพราะขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้อสัญญาเช่าตามเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 8 จึงมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายย่อมเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ทำให้สัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.5 เฉพาะข้อ 8 ตกเป็นโมฆะทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 จำเลยที่ 1 จึงไม่ผิดสัญญา จำเลยทั้งสองไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share