คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2904/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การฟ้องให้ผู้รับประกันภัยค้ำจุนรับผิดมีอายุความ 2 ปี นับแต่วันเกิดวินาศภัยตาม ป.พ.พ. มาตรา 882 วรรคแรก หาใช่นำอายุความในมูลละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 มาใช้ไม่ การยื่นคำร้องขอให้เรียกผู้รับประกันภัยเข้ามาเป็นจำเลยร่วมถือได้ว่าเป็นการฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องให้ผู้รับประกันภัยใช้ค่าทดแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 173 และป.วิ.พ. มาตรา 57(3).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน10-1000 เชียงราย จำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-8307 นครปฐม ได้นำเข้าร่วมกิจการขนส่งกับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2524 นายจำเริญ ใจพิจิตรลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ในทางการที่จ้างแล่นไปตามถนนสายเชียงใหม่ – ลำปางมุ่งหน้าไปทางจังหวัดลำปางเมื่อถึงบริเวณหลักสถานีตำรวจภูธรอำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นทางโค้งลงเขาลาดชัน ได้ขับด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังใช้ความเร็วสูงและแซงรถคันอื่น ทำให้รถเสียหลักแล่นเข้าชนรถยนต์โดยสารประจำทางของโจทก์ ซึ่งแล่นสวนทางมา เป็นเหตุให้นายจำเริญตายและรถยนต์โดยสารของโจทก์เสียหายหลายรายการต้องซ่อมแซมตัวถังรถและเปลี่ยนอะไหล่ เสียค่าใช้จ่ายในการนำรถไปซ่อม และค่าน้ำมันรถ รวมเป็นเงิน 543,150 บาท ค่าขาดประโยชน์ที่ต้องนำรถไปซ่อม 37 วัน เป็นเงิน 97,532 บาท รวมเสียหาย 640,682 บาทขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 640,682 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างยื่นคำให้การใจความว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน10-1000 เชียงรายไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-8307 นครปฐม แต่ได้ให้นายสังวาลสุขแย้ม เช่าซื้อ จำเลยที่ 1 มิได้เกี่ยวข้องและไม่ได้ร่วมกิจการกับจำเลยที่ 2 นายจำเริญผู้ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทของคนขับรถของโจทก์ ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมีจำนวนสูงเกินความจริงขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนายสังวาล สุขแย้ม เข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและเรียกว่าจำเลยร่วมที่ 1
จำเลยร่วมที่ 1 ให้การว่า ได้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-8307 นครปฐม จากจำเลยที่ 1 จริง และได้นำรถคันดังกล่าวไปประกันภัยค้ำจุนไว้กับบริษัทพิทัทธ์ประกันภัย จำกัด โจทก์ชอบที่จะฟ้องผู้รับประกันภัยให้รับผิดหรือร่วมรับผิด และขณะเกิดเหตุ จำเลยร่วมที่ 1 ได้นำรถคันดังกล่าวเข้าร่วมกิจการขนส่งกับห้างหุ้นส่วนจำกัดนิ่มซี่เส็งขนส่ง มีนายจำเริญเป็นผู้ขับรถยนต์โจทก์ชอบที่จะฟ้องห้างหุ้นส่วนดังกล่าว ซึ่งเป็นนายจ้างของนายจำเริญให้รับผิดไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยร่วม และไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยร่วมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ในคดีนี้ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์โดยสารคันที่เสียหาย นายจำเริญมิได้ขับรถโดยประมาทเหตุที่รถชนกันเกิดเพราะความประมาทของคนขับรถยนต์โดยสารคันที่เสียหาย ค่าเสียหายมีจำนวนไม่เกิน 20,000 บาท โจทก์เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีเกิน 1 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยร่วมที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เรียก บริษัทพิพัทธ์ประกันภัยจำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัดนิ่มซี่เส็ง เข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและเรียกว่า จำเลยร่วมที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ
จำเลยร่วมที่ 2 และที่ 3 แยกกันให้การใจความว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนายจำเริญมิใช่ลูกจ้างของจำเลยร่วมที่ 1 เหตุรถชนกันมิได้เกิดจากความประมาทของนายจำเริญ แต่เกิดจากความประมาทของผู้ขับรถยนต์โดยสาร โจทก์มิได้เสียหายเท่าฟ้อง จำเลยร่วมที่ 2ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ถูกเรียกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเกิน 1 ปีนับแต่เกิดเหตุละเมิด คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมทั้งสามร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์โดยจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันรับผิดใช้เงินจำนวน 135,000 บาทจำเลยร่วมที่ 2 ร่วมรับผิดใช้เงินจำนวน 100,000 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2
จำเลยร่วมที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยร่วมที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว สำหรับประเด็นข้อแรกว่าคดีเฉพาะจำเลยร่วมที่ 2 ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยร่วมที่ 2ฎีกาอ้างว่าจะต้องใช้อายุความละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 เมื่อจำเลยร่วมที่ 1 เรียกจำเลยร่วมที่ 2 เข้ามาในคดีเกินกว่า 1 ปี นับแต่วันทำละเมิดและวันที่รู้ตัวผู้ซึ่งต้องรับผิดจึงขาดอายุความนั้น เห็นว่าจำเลยร่วมที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ที่ชนรถยนต์ของโจทก์ การฟ้องให้จำเลยร่วมที่ 2รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 887 วรรคสอง มีอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่เกิดวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 วรรคแรก จึงนำอายุความในมูลละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 มาใช้ไม่ได้ เมื่อเกิดเหตุรถยนต์ของจำเลยร่วมที่ 1 ชนรถยนต์ของโจทก์วันที่ 28 ตุลาคม 2524 จำเลยร่วมที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เรียกจำเลยร่วมที่ 2 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2526ปรากฏตามคำร้องในสำนวนอันดับที่ 62/1 ลงวันที่ดังกล่าวแล้วถือได้ว่าเป็นการฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องให้จำเลยร่วมที่ 2 ใช้ค่าทดแทนตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) และอยู่ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันเกิดวินาศภัย คดีของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยร่วมที่ 2 จึงไม่ขาดอายุความ…”
พิพากษายืน.

Share