แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
สิทธิตามประทานบัตรซึ่งเป็นสิทธิในการทำเหมืองแร่นั้นเป็นสิทธิที่จะต้องบังคับตามพระราชบัญญัติแร่พ.ศ.2510อันแตกต่างกับสิทธิครอบครองในที่ดินซึ่งต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงเป็นสิทธิคนละส่วนแยกต่างหากจากกันได้หาใช่ว่าหากผู้ใดมีสิทธิตามประทานบัตรแล้วจะไม่อาจมีสิทธิครอบครองในที่ดินตามประทานบัตรนั้นได้เลยไม่มิฉะนั้นจะมีผลเป็นว่าผู้มีสิทธิครอบครองแปลงใดโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แต่เดิมแล้วหากต่อมาได้รับอนุญาตให้ทำเหมืองแร่ในที่ดินแปลงดังกล่าวจะทำให้สิทธิครอบครองซึ่งมีอยู่แต่เดิมก่อนแล้วต้องหมดสิ้นไปด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองที่ดินเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 1ตำบลบางนอน อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง โดยซื้อสิทธิครอบครองและสิทธิผลประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวมาจากบริษัทไซมิสตินซินติเกต จำกัด และผู้มีชื่อหลายคนโดยเสียค่าตอบแทนมาตั้งแต่ปี 2514 จนถึงปัจจุบัน โจทก์ทำประโยชน์ในที่ดินโดยการปลูกต้นไม้ยืนต้น ต่อมาวันที่ 12 พฤศจิกายน 2534 จำเลยทั้งสองคัดค้านการรังวัดที่ดินของโจทก์ต่อช่างแผนที่ผู้รังวัดว่าโจทก์ได้นำช่างแผนที่รังวัดทับที่ดินของจำเลยทั้งสองที่ครอบครองทำประโยชน์และจำเลยทั้งสองยังร่วมกันลักลอบเข้าเดิน ขุดดินและตักทราบในที่ดินของโจทก์เป็นครั้งคราว อันเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของและผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าวเนื่องจากบริษัทไซมิสตินซินดิเกต จำกัด รับประทานบัตรเพื่อทำเหมืองแร่ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในประทานบัตรต่อมาประทานบัตรดังกล่าวหมดอายุลง โจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองและสิทธิผลประโยชน์ทั้งหมดในที่ดินและไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยทั้งสองเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน คนละประมาณ 5 ไร่ เพื่อตนตลอดมาตั้งแต่ปี 2530 โดยการปลูกต้นไม้ยืนต้นและพืชล้มลุกพร้อมทั้งเลี้ยงสัตว์ ส่วนจำเลยที่ 1 ปลูกบ้าน 1 หลังคือ บ้านเลขที่ 48/4หมู่ที่ 1 ตำบลบางนอน อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิครอบครองในที่ดินทั้งหมดโดยชอบด้วยกฎหมายฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วเนื่องจากจำเลยทั้งสองได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทด้วยความสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของเกิน 1 ปีแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษายก ฟ้องโจทก์
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์สามารถมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตประทานบัตรการทำเหมืองแร่ได้หรือไม่ในคดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้โดยชัดแจ้งว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองที่ดินเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ ซึ่งรวมทั้งที่ดินพิพาทด้วย โดยโจทก์ซื้อสิทธิครอบครองและสิทธิประโยชน์ทั้งหมดกล่าวคือ สิทธิในกิจการเหมืองแร่และสิทธิในการครอบครองที่ดินจากบริษัทไซมิสตินซินดิเกต จำกัด และผู้มีชื่อคนอื่น ๆ โจทก์จึงมีสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวทั้งหมด ทั้งโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์เพื่อตนเองมาโดยตลอด โดยได้สำรวจแร่และดำเนินกิจการเหมืองแร่ตามประทานบัตร และโจทก์ได้ทำสวนเกษตรโดยปลูกพืชผลต่าง ๆในที่ดินที่โจทก์ครอบครองทั้งหมดด้วย ตามคำฟ้องโจทก์ดังกล่าวนอกจากจะเป็นการกล่าวอ้างว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิในการทำเหมืองแร่โดยรับโอนสิทธิตามประทานบัตรแล้ว ยังได้กล่าวอ้างมาด้วยว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยซื้อหรือรับโอนมาจากเจ้าของที่ดินเดิมอีกด้วย เห็นว่า สิทธิตามประทานบัตรซึ่งเป็นสิทธิในการทำเหมืองแร่นั้นเป็นสิทธิที่จะต้องบังคับตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 อันแตกต่างกับสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทซึ่งต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงเป็นสิทธิคนละส่วนแยกต่างหากจากกันได้ หาใช่ว่าหากผู้ใดมีสิทธิตามประทานบัตรแล้วจะไม่อาจมีสิทธิครอบครองในที่ดินตามประทานบัตรนั้นได้เลยไม่ มิฉะนั้นจะมีผลเป็นว่า ผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงใดโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แต่เดิมแล้ว หากต่อมาได้รับอนุญาตให้ทำเหมืองแร่ในที่ดินแปลงดังกล่าวจะทำให้สิทธิครอบครองซึ่งมีอยู่แต่เดิมก่อนแล้วต้องหมดสิ้นไปด้วย ฉะนั้น โจทก์จึงสามารถมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตประทานบัตรการทำเหมืองแร่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามพระราชบัญญัติ แร่ พ.ศ. 2510 จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ในประการต่อไปที่ว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทและโจทก์ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท
ปัญหาที่ว่า จำเลยทั้งสองแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทนับถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปี หรือไม่นั้น หากถือว่าจำเลยทั้งสองได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ตั้งแต่วันที่ยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดิน คือวันที่ 12 พฤศจิกายน 2534แล้ว ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทเกินกว่า 1 ปี นับถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดี จำเลยทั้งสองจึงไม่ได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ห้ามมิให้จำเลยทั้งสองเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป