แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 มาตรา 7 ได้กำหนดให้เจ้าของที่ดินซึ่งเป็นเจ้าของอยู่ในวันที่ 1 มกราคมของปีใด เป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่ในปีนั้นตามอัตราของราคาปานกลางของที่ดินที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีบำรุงท้องที่ แต่ถ้าเจ้าของที่ดินประกอบการกสิกรรมประเภทไม้ล้มลุกด้วยตนเองแล้วให้เสียภาษีอย่างสูงไม่เกินไร่ละ 5 บาท มิใช่ให้ถือเอาผลของการใช้ที่ดินในปีที่ล่วงมาแล้วมาเป็นเกณฑ์คำนวณภาษีบำรุงท้องที่ ดังนั้น การเรียกเก็บภาษีบำรุงท้องที่ในปีใด ก็ต้องถือเอาการใช้ที่ดินของเจ้าของที่ดินในปีนั้นเป็นเกณฑ์คำนวณภาษี
ที่ดินที่จำเลยแจ้งการประเมินให้โจทก์ชำระค่าภาษีบำรุงท้องที่ไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ ถือได้ว่าไม่มีการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินของโจทก์ จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติว่าด้วยการอุทธรณ์ โจทก์มีสิทธิที่จะขอให้เพิกถอนการประเมินเสียได้โดยมิต้องคำนึงว่าโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าวหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้แจ้งการประเมินให้โจทก์เสียภาษีบำรุงท้องที่ประจำปีพ.ศ. ๒๕๒๒ สำหรับที่ดินของโจทก์ในฐานะที่เป็นที่ดินว่างเปล่า โจทก์เห็นว่าการประเมินดังกล่าวไม่ถูกต้อง เพราะโจทก์ใช้ที่ดินทำนาด้วยตนเอง และที่ดินแปลงโฉนดเลขที่๒๘๑๘๔ ที่จำเลยประเมินให้โจทก์ที่ ๒ เสียภาษีไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ที่ ๒ โจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ในอัตราเพียงไร่ละ ๕ บาท โจทก์ได้อุทธรณ์การประเมินดังกล่าวต่อจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ได้แจ้งคำชี้ขาดยืนยันการประเมินว่าถูกต้องแล้ว จึงขอให้เพิกถอนคำสั่งการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ของจำเลยแล้วสั่งให้โจทก์เสียภาษีบำรุงท้องที่ในฐานะเป็นที่นาและโจทก์ทำนาด้วยตนเอง และให้เพิกถอนคำชี้ขาดอุทธรณ์ด้วย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินของโจทก์ถูกต้องแล้ว โจทก์มิได้ใช้ที่ดินเป็นที่ทำนา แต่ปล่อยให้เป็นที่ว่างเปล่า โจทก์ที่ ๒ มิได้อุทธรณ์การประเมินจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งการประเมินภาษีบำรุงท้องที่และคำชี้ขาดของจำเลย ให้โจทก์ที่ ๑ เสียภาษีบำรุงท้องที่ในฐานะเจ้าของที่ดินใช้ที่ดินประกอบการกสิกรรมด้วยตนเอง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ตามฎีกาของจำเลยทั้งสามในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า การเรียกเก็บภาษีบำรุงท้องที่นั้นจะต้องถือเอาผลของการใช้ที่ดินในปีที่ล่วงแล้วมาเป็นหลักเกณฑ์การเรียกเก็บภาษีบำรุงท้องที่ในปีที่เรียกเก็บนั้นศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. ๒๕๐๘ มาตรา ๗ บัญญัติว่า”ให้ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินในวันที่ ๑ มกราคมของปีใด มีหน้าที่เสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปีนั้นจากราคาปานกลางของที่ดินตามบัญชีอัตราภาษีบำรุงท้องที่ท้ายพระราชบัญญัตินี้”และบัญชีอัตราภาษีบำรุงท้องที่ตามมาตรา ๗ ได้กำหนดชั้นของราคาปานกลางของที่ดินไว้ว่าจะต้องเสียภาษีไร่ละเท่าใด และได้หมายเหตุไว้ในช่องหมายเหตุว่า “(๑) ที่ดินที่ใช้ประกอบการกสิกรรมเฉพาะประเภทไม้ล้มลุกให้เสียกึ่งอัตรา แต่ถ้าเจ้าของที่ดินประกอบการกสิกรรมประเภทไม้ล้มลุกนั้นด้วยตนเอง ให้เสียอย่างสูงไม่เกินไร่ละ๕ บาท” ดังนี้พึงเห็นได้ว่าพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. ๒๕๐๘ ได้กำหนดให้เจ้าของที่ดินซึ่งเป็นเจ้าของอยู่ในวันที่ ๑ มกราคมของปีใดก็ให้เป็นผู้เสียภาษีในปีนั้นตามอัตราของราคาปานกลางของที่ดินที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีบำรุงท้องที่ตามมาตรา ๗ แต่ถ้าเจ้าของที่ดินประกอบการกสิกรรมประเภทไม้ล้มลุกด้วยตนเองแล้วให้เสียภาษีอย่างสูงไม่เกินไร่ละ ๕ บาท มิใช่ให้ถือเอาผลของการใช้ที่ดินในปีที่ล่วงมาแล้วมาเป็นเกณฑ์คำนวณเสียภาษีในปีที่จะต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ ฉะนั้นในกรณีของโจทก์และจำเลยคดีนี้จึงเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เรียกเก็บภาษีบำรุงท้องที่ในปีพ.ศ. ๒๕๒๒ จากโจทก์ทั้งสอง ก็ต้องถือเอาการใช้ที่ดินของโจทก์ทั้งสองผู้เป็นเจ้าของที่ดินในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นเกณฑ์คำนวณภาษี จะเอาผลของการที่โจทก์ทั้งสองใช้ที่ดินของตนทำนาด้วยตนเองหรือไม่ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ มาเป็นเกณฑ์คำนวณเสียภาษีบำรุงท้องที่ไม่ได้ ที่จำเลยทั้งสามฎีกาอ้างว่าบทบัญญัติของมาตรา ๓๐ มาตรา ๓๓และมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. ๒๕๐๘ แสดงให้เห็นว่าการประเมินภาษีหรือเรียกเก็บภาษีของเจ้าพนักงานจะกระทำได้ต้องนำผลการใช้ที่ดินในปีที่ล่วงมาแล้วมาคิดคำนวณการเรียกเก็บภาษีบำรุงท้องที่นั้นไม่ถูกต้อง เพราะมาตรา ๓๐ บัญญัติถึงกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการที่ดินที่จะต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ของเจ้าของที่ดิน มาตรา ๓๓ บัญญัติกำหนดหน้าที่ให้เจ้าพนักงานประเมินคำนวณภาษีบำรุงท้องที่และแจ้งการประเมินภายในเดือนมีนาคมแรกหลังจากการตีราคาปานกลางของที่ดิน และวิธีการแจ้งการประเมิน ส่วนมาตรา ๓๕ บัญญัติให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีบำรุงท้องที่ชำระภาษีบำรุงท้องที่ภายในเดือนเมษายนของทุกปี หรือภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน ทั้งสามมาตรานี้ไม่มีข้อความใดให้นำผลการใช้ที่ดินในปีที่ล่วงมาแล้วมาคิดคำนวณเรียกเก็บภาษีบำรุงท้องที่เลย
ปัญหาสุดท้ายที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า จำเลยที่ ๓ ยังมิได้แจ้งการประเมินที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๕๖๘๑ ไปยังโจทก์ที่ ๒ และโจทก์ที่ ๒ มิได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ไว้ โจทก์ที่ ๒ จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนการประเมินตามมาตรา ๕๒ แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. ๒๕๐๘ ได้นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ ๓ ได้แจ้งการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ของที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๘๑๘๔ เนื้อที่ ๒ งาน ๘๑ ตารางวา ไปให้โจทก์ที่ ๒ ชำระค่าภาษีบำรุงท้องที่ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นเงิน ๑,๐๕๓.๗๕ บาท และเงินเพิ่มอีกหนึ่งเท่ารวมเป็นเงิน๒,๑๐๗.๕๐ บาท แต่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๘๑๘๔ นั้น โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน ที่ดินของโจทก์ที่ ๒ เป็นโฉนดเลขที่ ๔๕๖๘๑ เนื้อที่ ๑ งาน ๙๒ ตารางวา ฉะนั้น การประเมินภาษีบำรุงท้องที่ของจำเลยที่ ๓ เป็นเรื่องไม่ถูกต้องเกี่ยวกับที่ดินที่จะต้องประเมิน ถือได้ว่าไม่มีการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินพิพาท มิใช่เป็นการประเมินภาษีบำรุงท้องที่โดยตรงอันจะต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติว่าด้วยการอุทธรณ์ของพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. ๒๕๐๘ โจทก์ที่ ๒ มีสิทธิที่จะขอให้เพิกถอนการประเมินนั้นเสียได้โดยมิพักต้องคำนึงว่าโจทก์ที่ ๒ ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าวนั้นหรือไม่
พิพากษายืน