แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
อ. ฟ้องจำเลยขอให้เปิดทางจำเป็น เป็นเรื่องเฉพาะตัวไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสาม แต่ อ. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 319 แปลงใหญ่ และมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้เช่นเดียวกับที่ดินโจทก์ทั้งสาม เมื่อ อ. ผ่านที่ดินจำเลยซึ่งล้อมอยู่ออกไปสู่ทางสาธารณะและถนนได้ การที่ที่ดินของโจทก์ทั้งสามแบ่งแยกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 319 ซึ่งเป็นแปลงใหญ่นั้นปรากฏว่าที่ดินที่แบ่งทุกแปลงมีทางออกผ่านที่ดินของจำเลยออกสู่ทางสาธารณะเป็นทางจำเป็นอยู่แล้ว ดังนั้น โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งเป็นทางจำเป็นได้เช่นเดียวกับ อ. เพราะจำเลยไม่มีสิทธิปิดกั้นทางจำเป็นได้อีกต่อไป ถือได้ว่าที่ดินโจทก์ทั้งสามมีทางออกถึงทางสาธารณะได้ โจทก์ทั้งสามจึงมีไม่สิทธิเรียกร้องให้จำเลยเปิดทางพิพาทในที่ดินจำเลยเป็นทางจำเป็นได้อีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยยินยอมให้โจทก์ทั้งสามทำถนนตั้งแต่ริมคลองคอกกระบือถึงที่ดินของโจทก์ทั้งสามยาว 20 วา และกว้าง 5 เมตร บนที่ดินโฉนดเลขที่ 31253 ตำบลบางน้ำจืด (โพแจ้) อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ของจำเลยในส่วนที่ตกเป็นภาระจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ 319 ตำบลโพแจ้ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อออกสู่คลองคอกกระบือและถนนเอกชัย โดยโจทก์ยอมจ่ายค่าทดแทนให้แก่จำเลยเป็นเงิน 10,000 บาท
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้โจทก์ทั้งสามมีสิทธิผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 31253 ตำบลบางน้ำจืด (โพแจ้) อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ของจำเลยออกสู่คลองคอกกระบือ และถนนเอกชัย โดยทำเป็นถนนกว้างไม่เกิน 1 เมตร บนแนวคูน้ำภาระจำยอมในที่ดินของจำเลยตั้งแต่คลองคอกกระบือถึงที่ดินโฉนดเลขที่ 319 ตำบลโพแจ้ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เป็นระยะทางยาวประมาณ 20 วา แต่ทั้งนี้การทำถนนของโจทก์ทั้งสามดังกล่าวจะต้องไม่ให้เสื่อมประโยชน์แก่ภาระจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ 319 ในการชักน้ำเข้านาและสวน และให้โจทก์สามใช้ค่าทดแทนคนละ 20,000 บาท แก่จำเลย คำขออื่นให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื่องต้นนฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 19827 ตำบลบางน้ำจืด (โพแจ้) อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร โดยได้รับการให้มาจากพันจ่าเอกจันทร์ ซึ่งเป็นบิดาตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 19826 ตำบลบางน้ำจืด (โพแจ้) อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 โจทก์ที่ 3 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 47837 ตำบลบางน้ำจืด (โพแจ้) อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 31253 ตำบลบางน้ำจืด (โพแจ้) อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ. 3 โดยทิศเหนือจดคลองคอกกระบือและถนนเอกชัยซึ่งเป็นทางสาธารณะ ทิศตะวันตกจดที่ดินโฉนดเลขที่ 319 ตำบลโพแจ้ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.2 ทางพิพาทภายในเส้นสีเขียวในแผนที่วิวาทอยู่ในที่ดินจำเลยด้านทิศใต้ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกมีว่า ที่ดินโจทก์ทั้งสามมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.2 ฟังได้ว่าเดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 319 เป็นที่ดินแปลงใหญ่ ต่อมามีการแบ่งแยกไปรวม 8 แปลง โดยที่ดินโจทก์ทั้งสามต่างแบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 319 แปลงใหญ่ด้วย ปัจจุบันที่ดินโฉนดเลขที่ 319 แปลงเดิม ส่วนที่เหลือจากการแบ่งแยกมีโจทก์ที่ 2 และนายละออง กับพวกอีก 6 คน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม และมีทางภายในเส้นสีเขียวตามรูปแผนที่หลังโฉนดที่ดินอยู่กลางระหว่างที่ดินที่แบ่งแยกไปจนจดทางพิพาท นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังฟังได้ว่า นายละอองยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 15125 ตำบลบางน้ำจืด (โพแจ้) อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร โดยมีทิศตะวันตกจดที่ดินจำเลยและอยู่ด้านทิศเหนือของทางภายในเส้นสีเขียว ส่วนที่ดินโจทก์ทั้งสามอยู่ด้านใต้ของทางภายในเส้นสีเขียว ซึ่งโจทก์ทั้งสามสามารถใช้ทางภายในเส้นสีเขียวได้ ก่อนหน้านี้นายละอองซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 15125 ได้ฟ้องจำเลยโดยอ้างว่า ที่ดินนายละอองมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้นายละอองมีสิทธิผ่านบนแนวคูน้ำภาระจำยอมในที่ดินจำเลยซึ่งเป็นทางจำเป็นออกสู่ทางสาธารณะคลองคอกกระบือและถนนเอกชัยได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 417/2531 ของศาลชั้นต้น แม้นายละอองฟ้องจำเลยขอให้เปิดทางจำเป็น เป็นเรื่องเฉพาะตัวไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสามดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยก็ตาม แต่นายละอองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 319 แปลงใหญ่ และมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้เช่นเดียวกับที่ดินโจทก์ทั้งสาม เมื่อนายละอองผ่านที่ดินจำเลยซึ่งล้อมอยู่ออกไปสู่ทางสาธารณะคลองคอกกระบือและถนนเอกชัยได้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 ดังกล่าวแล้ว การที่ที่ดินของโจทก์ทั้งสามแบ่งแยกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 319 ซึ่งเป็นแปลงใหญ่และที่ดินโฉนดเลขที่ 319 ตามเอกสารหมาย จ.1 นั้น ปรากฏว่าที่ดินที่แบ่งทุกแปลงมีทางออกผ่านที่ดินของจำเลยออกสู่ทางสาธารณะเป็นทางจำเป็นอยู่แล้ว ดังนั้น โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิผ่านที่ดินจำเลยซึ่งเป็นทางจำเป็นได้เช่นเดียวกับนายละออง เพราะจำเลยไม่มีสิทธิปิดกั้นทางจำเป็นได้อีกต่อไป ถือได้ว่าที่ดินโจทก์ทั้งสามมีทางออกถึงทางสาธารณะได้ โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยเปิดทางพิพาทในที่ดินจำเลยเป็นทางจำเป็นได้อีก กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ทั้งสามและฎีกาของจำเลยข้อต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสาม ให้โจทก์ทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท