คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2890/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา(ก)

ย่อสั้น

ในชั้นบังคับคดี โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลอ้างว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมขอให้เรียกจำเลยมาสอบถามและปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความชัดเจนอยู่แล้วจึงมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาที่ชัดแจ้งอยู่แล้วกรณีเช่นนี้ไม่จำต้องเรียกคู่ความมาสอบถามเพื่อตีความสัญญาประนีประนอมยอมความกันอีก จึงไม่จำเป็นต้องส่งสำเนาคำร้องของ โจทก์ให้จำเลยทราบ

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และจำเลยร่วมรื้อกำแพงส่วนที่เกินกว่า 3 เมตร คงเหลือ 3 เมตร ทั้ง 3 ด้าน ภายในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2528 คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และจำเลยร่วมไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ได้ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี ต่อมาวันที่ 4 กรกฎาคม 2529 โจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยได้รื้อกำแพงบางส่วนแล้ว แต่ยังมีส่วนสูงกว่าระดับพื้นถนนกว่า 3 เมตร ขอให้ศาลชั้นต้นเรียกจำเลยมาสอบถามและให้จำเลยรื้อกำแพงให้ได้ระดับ 3 เมตร นับจากระดับถนนสาธารณะ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเห็นควรให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามคำพิพากษาและรายงานให้ศาลทราบก่อน เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นว่าได้ไปตรวจสอบกำแพงที่พิพาทแล้วพบว่า ระดับพื้นที่ดินในเขตโจทก์และจำเลยต่างกัน ทำให้ความสูงของกำแพงพิพาทไม่เท่ากัน ถ้าวัดจากแนวดินภายในบ้านเลขที่ 149/3 (บ้านจำเลยที่ 3 ) รั้วไม่เกิน 3 เมตร เมื่อวัดจากแนวดินในที่ดินของโจทก์ รั้วสูงจากแนวดินตั้งแต่ 3.30-3.40 เมตร วันที่ 22 กันยายน 2529 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และจำเลยร่วมมาสอบถามและบังคับให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยให้จำเลยรื้อกำแพงให้ได้ระดับ 3 เมตร นับจากระดับถนนสาธารณะศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์ประกอบสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว กำแพงสูงได้เพียง 3 เมตร ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรื้อกำแพงลงให้สูง 3 เมตร ทั้งนี้โดยวัดตัวกำแพงจริง ๆ ไม่ใช่วัดถึงดินและให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้ จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2529 12 ธันวาคม 2529 และวันที่ 8 มกราคม 2529 ขอให้ศาลเรียกคู่ความมาสอบถามเพื่อตีความสัญญาประนีประนอมยอมความศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์จำเลยติดต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีและให้รอฟังรายงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีก่อน วันที่ 22 พฤษภาคม 2530 เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นว่า ได้นำประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีไปปิดที่กำแพงเพื่อทำการรื้อถอน พบผู้แทนโจทก์และผู้แทนจำเลย ผู้แทนจำเลยแถลงคัดค้านต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าคำสั่งศาลที่สั่งให้รื้อกำแพงนั้นเป็นการตีความเพียงฝ่ายเดียว ไม่ได้เรียกโจทก์จำเลยมาพร้อมกันเพื่อสอบถาม ขอให้งดการบันทึกคดีไว้ก่อนเพื่อจำเลยจะได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาใหม่ต่อไป ส่วนผู้แทนโจทก์แถลงขอให้ดำเนินการตามคำสั่งศาลต่อไป ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจะให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการประการใด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2530 ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีตามคำสั่งลงวันที่ 22 กันยายน 2529 ต่อไป
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และจำเลยร่วมอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งเมื่อ 22 กันยายน 2529 และวันที่ 28 พฤษภาคม 2530
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสี่และจำเลยร่วมตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2528 ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว ในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ข้อ2 มีใจความว่า “จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และจำเลยร่วมยอมรื้อกำแพงส่วนที่เกินกว่า 3 เมตร คงเหลือ 3 เมตร ทั้ง 3 ด้าน ภายในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2528 หากต่อเติมเหล็กดัดก็ได้”แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ได้ขอออกหมายบังคับคดี ต่อมาจำเลยได้รื้อกำแพงบางส่วน โจทก์ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2529 อ้างว่ากำแพงยังสูงเกินกว่า 3 เมตร หากวัดจากระดับถนนสาธารณะขอให้เรียกจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และจำเลยร่วมมาสอบถามและปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์ประกอบสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว กำแพงสูงได้เพียง 3 เมตร ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรื้อกำแพงลงให้สูง 3 เมตร โดยวัดตัวกำแพงจริงๆ ไม่ใช่วัดถึงดิน และให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไป ต่อมาวันที่ 22 พฤษภาคม 2530 เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานศาลว่าคู่ความไม่สามารถตกลงกันได้ จึงได้งดการบังคับคดีไว้และขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจะให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการประการใดต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2530 ว่าให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไปตามคำสั่งลงวันที่ 22 กันยายน 2529 ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกามีว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2529 และวันที่ 28 พฤษภาคม 2530 โดยมิได้ส่งสำเนาคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 22 กันยายน 2529 ให้จำเลยทราบและมิได้เรียกคู่ความมาสอบถามก่อนนั้นชอบหรือไม่ และจำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2 ซึ่งระบุว่า “จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และจำเลยร่วมยอมรื้อกำแพงส่วนที่เกินกว่า 3 เมตร คงเหลือ 3 เมตร ทั้งสามด้าน ฯลฯ” นั้น ชัดเจนอยู่แล้วว่าหมายถึงยอมรื้อตัวกำแพงส่วนที่สูงเกินกว่า 3เมตร นับจากตัวกำแพงชั้นล่างสุดหรือส่วนบนของคานคอดินที่รองรับกำแพงนั้นขึ้นไป ให้คงเหลือไว้ 3 เมตร เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2529 ว่าให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรื้อกำแพงลงให้สูง 3 เมตร โดยวัดจากตัวกำแพงจริง ไม่ใช่วัดถึงดิน และมีคำสั่งยืนยันตามคำสั่งเดิมในรายงานของเจ้าพนักงานบังคับคดี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2530 ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไป คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งที่สั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาที่ชัดแจ้งอยู่แล้ว กรณีไม่จำต้องเรียกคู่ความมาสอบถามเพื่อตีความสัญญาประนีประนอมยอมความกันอีก จึงไม่จำเป็นต้องส่งสำเนาคำร้องของโจทก์ให้จำเลยทราบ คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และจำเลยร่วมร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์เป็นเงิน 600 บาท

Share