แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างโจทก์จำเลยจะกำหนดว่าเมื่อโจทก์จำเลยไม่อาจตกลงกันในปัญหาการตีความข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ทั้งสองฝ่ายตกลงเสนอให้กรมแรงงานเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยคำวินิจฉัยให้เป็นที่สุดก็ตาม ก็มีความหมายแต่เพียงว่าคู่กรณีไม่อาจนำปัญหาดังกล่าวไปขอให้กรมแรงงานวินิจฉัยได้อีก ไม่มีความหมายถึงกับว่าหากคำวินิจฉัยของกรมแรงงานไม่ถูกต้องตามกฎหมาย คู่กรณีจะไม่มีสิทธิฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีเพื่อให้ศาลวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ได้ เพราะคำวินิจฉัยของกรมแรงงานไม่ใช่กฎหมาย
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (12) จำเลยมีสิทธินำผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปี ก่อนรอบระยะบัญชีปีปัจจุบันมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้เมื่อข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยไม่มีข้อตกลงชัดแจ้งไม่ให้จำเลยหักผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปีก่อนระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบัน จำเลยย่อมมีสิทธิหักผลขาดทุนสุทธิดังกล่าวตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทุกคนเป็นพนักงานและลูกจ้างประจำของจำเลยได้รับเงินเดือนและค่าจ้างตามอัตราที่กำหนดไว้แต่ละปีตลอดมา เมื่อปี พ.ศ. 2521 โจทก์กับจำเลยได้ตกลงแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ว่าจำเลยตกลงพิจารณาปรับปรุงโบนัสและสวัสดิการให้โจทก์ทั้งหมดทุก ๆ ระยะ6 เดือน โดยนับตามปีปฏิทิน ทั้งนี้เฉพาะในกรณีที่จำเลยได้กำไรสุทธิ (หักภาษีแล้ว) โดยจำเลยตกลงแบ่งกำไรสุทธิให้โจทก์ร้อยละ 20 ต่อมาวันที่ 19 พฤศจิกายน 2522โจทก์กับจำเลยได้ร่วมกันแก้ไขข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวในเรื่องการนับเวลาตามปีปฏิทินเป็นให้นับตามเวลาทำงบดุลของจำเลยซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ถึง วันที่ 30 พฤศจิกายนของทุกปี จำเลยได้ประพฤติผิดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง กล่าวคือในปี พ.ศ. 2522 จำเลยมีกำไรสุทธิเป็นจำนวนถึง 280,642,000 บาท ซึ่งเมื่อคำนวณยอดเงินโบนัสซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายให้โจทก์ตามข้อตกลง จำเลยจะต้องจ่ายเงินให้โจทก์เป็นเงิน56,128,000 บาท แต่จำเลยจ่ายเงินโบนัสดังกล่าวให้โจทก์เพียง 29,672,000 บาท คงค้างจ่ายอีก 26,456,000 บาท ซึ่งคิดเทียบกับเงินค่าจ้างหรือเงินเดือนของโจทก์แล้ว จำเลยยังค้างจ่ายโบนัสแก่โจทก์อีกคนละ 6 เดือนครึ่ง โจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมจ่ายให้ จึงขอให้จำเลยจ่ายเงินโบนัสแก่โจทก์อีก 26,456,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัด จนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2521 โจทก์จำเลยได้เคยทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างในการที่จะจ่ายกำไรสุทธิ (หักภาษีแล้ว) ในอัตราร้อยละ 20 แก่ลูกจ้างของจำเลย โดยให้ถือกำไรสุทธิตามงบการเงินที่จำเลยมีหน้าที่ต้องทำขึ้นตามกฎหมายและทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันให้มีผู้สอบบัญชีตกลงตรวจสอบรับรอง กำไรสุทธิที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณจ่ายเงินนั้นเป็นไปตามหลักการบัญชีรับรองทั่วไป และได้รับการตรวจสอบรับรองโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตามข้อตกลงดังกล่าวแล้ว ฉะนั้น จำเลยจึงได้จ่ายเงิน 29,672,000 บาท ซึ่งเท่ากับอัตราร้อยละ 20 ของกำไรที่หักภาษีแล้ว และโจทก์ได้รับเงินตามข้อตกลงไปถูกต้องเรียบร้อยแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยตามเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 1.4 วรรคแรกมีความว่า “นายจ้างตกลงพิจารณาปรับปรุงโบนัสและสวัสดิการให้แก่ลูกจ้างของบริษัทซัมมิทอินดัสเตรียล คอร์ปอร์เรชั่น(ปานามา) จำกัด ทุกคนทุก ๆ ระยะ 6 เดือน โดยนับตามปีปฏิทิน ทั้งนี้เฉพาะกรณีที่บริษัทซัมมิทอินดัสเตรียล คอร์ปอร์เรชั่น (ปานามา) จำกัด ได้กำไรสุทธิ (หักภาษีแล้ว)โดยบริษัทตกลงแบ่งกำไรสุทธิดังกล่าวให้ร้อยละ 20” แต่ข้อตกลงดังกล่าวนี้ก็ไม่ได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับกำไรสุทธิไว้ทำให้เกิดข้อขัดข้องในการจ่ายเงินโบนัสแก่ลูกจ้างอยู่ต่อไปทั้งสองฝ่ายจึงต้องทำความตกลงเพื่อตีความข้อตกลงฉบับแรกขึ้นอีกปรากฏตามเอกสารหมาย จ.7 แผ่นที่ 2 ซึ่งมีข้อความเช่นเดียวกับเอกสารหมาย ล.1 เอกสารหมาย จ.7 แผ่นที่ 2 ข้อ 1 มีความว่า “นายจ้างยินดีสำรองจ่ายเงินโบนัสให้ลูกจ้างบริษัทซัมมิทอินดัสเตรียล คอร์ปอร์เรชั่น (ปานามา) จำกัด ทุกคนคนละ 2 เดือน ส่วนจำนวนกำไรที่แน่นอนจะได้ให้สำนักผู้ตรวจสอบบัญชี(SGV – Na Thalang & Co., Ltd.) รับรองบัญชีเพื่อจะได้ปฏิบัติตามข้อตกลงต่อไป” ต่อมาสำนักผู้ตรวจสอบบัญชีดังกล่าวได้ตรวจสอบบัญชี และทำงบดุลขึ้นตามเอกสารหมาย จ.10 จ.13 และจ่ายเงินโบนัสให้โจทก์ทุกคนตามจำนวนดังกล่าวข้างต้น โจทก์อุทธรณ์ว่าเงินโบนัสจำนวนนี้ยังไม่ถูกต้องเพราะในปี พ.ศ. 2522 จำเลยมีกำไรรวม 415,107,330 บาท 41 สตางค์ จำเลยนำยอดขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปี ก่อนระยะเวลาบัญชีเป็นเงิน 188,033,782 บาท06 สตางค์ มาหักออกจากกำไรทั้งหมด เหลือกำไรที่ต้องเสียภาษี 227,073,548 บาท 35 สตางค์ นำกำไรยอดนี้มาเสียภาษีร้อยละ 35 เหลือกำไรสุทธิ (หักภาษีแล้ว)147,597,806 บาท 43 สตางค์ จำเลยคิดโบนัสร้อยละ 20 จากกำไรสุทธิยอดดังกล่าวนี้และได้ผลลัพธ์เท่ากับ 29,519,561 บาท 28 สตางค์ซึ่งโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่มีสิทธิหักเงินขาดทุนสุทธิไม่เกิน 5 ปี ก่อนระยะเวลาบัญชีออกจากกำไรทั้งหมด เห็นว่าตามเอกสารหมาย จ.7 แผ่นที่ 2 ข้อ 1 จำเลยตกลงจะจ่ายโบนัสสำรองให้โจทก์คนละ 2 เดือน ส่วนกำไรที่แน่นอนจะต้องให้สำนักผู้ตรวจสอบบัญชีรับรองเสียก่อนเพื่อจะได้ปฏิบัติตามข้อตกลงต่อไป นอกจากนี้ตามเอกสารหมาย จ.3 มีข้อความตอนหนึ่งว่า “และเมื่อบริษัทฯ ผู้ตรวจสอบบัญชีตรวจสอบงบดุลกำไรขาดทุนของบริษัทซัมมิท อินดัสเตรียล คอร์ปอร์เรชั่น (ปานามา) จำกัด เสร็จแล้ว บริษัทซัมมิทอินดัสเตรียลคอร์ปอร์เรชั่น (ปานามา) จำกัด จะแจ้งให้ลูกจ้างทราบในเวลาพอสมควร เพื่อพิจารณาจ่ายส่วนที่ค้างจ่าย” และเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 2 มีข้อความว่า”เมื่อบริษัทซัมมิท อินดัสเตรียล คอร์ปอร์เรชั่น (ปานามา) จำกัด ได้ทราบผลกำไรในช่วง 6 เดือนแล้ว บริษัทซัมมิทอินดัสเตรียล คอร์ปอร์เรชั่น (ปานามา) จำกัด จะจ่ายเงินโบนัสส่วนที่เหลือให้กับลูกจ้างทุกคน ตามบันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2521 ข้อ 1.4 ก่อนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2523 โดยจะแจ้งให้ลูกจ้างทราบในเวลาพอสมควร (ผลกำไรตามงบดุลของบริษัทซัมมิทอินดัสเตรียล (ปานามา) จำกัด)” จึงเห็นได้ว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาจะให้ถือเอาผลการตรวจสอบบัญชีมาเป็นหลักในการคำนวณเงินโบนัส แม้ตามเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 8 จะกำหนดไว้ว่า เมื่อโจทก์จำเลยไม่อาจตกลงกันในปัญหาการตีความทั้งสองฝ่ายตกลงเสนอให้กรมแรงงานเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยคำวินิจฉัยให้เป็นที่สุด และกรณีนี้กรมแรงงานได้มีคำวินิจฉัยที่ มท.1206/10789 ตามเอกสารหมาย จ.9 ว่าจำเลยจะนำผลสุทธิก่อนแบ่งจ่ายเป็นเงินโบนัสให้แก่ลูกจ้างไปหักชดเชยการขาดทุนของปีก่อน ๆ ตามประมวลรัษฎากรไม่ได้ เพราะไม่เกี่ยวกับผลของข้อตกลงดังนี้ก็ตาม ก็มีความหมายแต่เพียงว่าคู่กรณีไม่อาจนำปัญหาดังกล่าวไป ขอให้กรมแรงงานวินิจฉัยได้อีก แต่ไม่มีความหมายถึงกับว่าหากคำวินิจฉัยของกรมแรงงานไม่ถูกต้องตามกฎหมายคู่กรณีไม่มีสิทธิฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีเพื่อให้ศาลวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ได้ เพราะคำวินิจฉัยของกรมแรงงานไม่ใช่กฎหมาย สำหรับกรณีที่เป็นปัญหาว่าจำเลยจะนำยอดขาดทุนสุทธิไปหักออกจากกำไรได้หรือไม่นั้น ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (12) จำเลยมีสิทธินำผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบันมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ ดังนั้นเมื่อข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.7 แผ่นที่ 2 ไม่ได้มีข้อตกลงชัดแจ้งไม่ให้จำเลยหักผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปีก่อนระยะเวลาบัญชีปัจจุบันเสียก่อน จำเลยก็ย่อมมีสิทธิหักผลขาดทุนสุทธิดังกล่าวได้ตามที่บัญญัตไว้ในประมวลรัษฎากรโจทก์จำเลยตกลงกันให้ถือเอาผลการตรวจสอบบัญชีของสำนักผู้ตรวจสอบบัญชีมาเป็นหลักในการคำนวณเงินโบนัส โดยอ้างในอุทธรณ์เพียงประการเดียวว่ายอดเงินโบนัสไม่ถูกต้องเพราะจำเลยนำผลขาดทุนสุทธิ 5 ปีสุดท้ายมาหักออกจากกำไรสุทธิ แต่ไม่ได้กล่าวอ้างว่ายอดเงินโบนัสที่จำเลยจ่ายให้โจทก์ 29,672,000 บาท ไม่ถูกต้องเพราะเหตุอื่น เมื่อข้ออ้างดังกล่าวข้างต้นฟังไม่ได้ ก็ต้องฟังว่าเงินโบนัสที่จำเลยจ่ายให้โจทก์ถูกต้องแล้ว
พิพากษายืน