คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2889/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้ออ้างของจำเลยที่ว่า โจทก์ในคดีก่อนฟ้องขับไล่จำเลยและได้ถอนฟ้องไปโดยสละสิทธิในการดำเนินคดีใหม่นั้น เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า โจทก์หรือผู้รับมอบอำนาจในคดีนั้นกระทำการแทนโจทก์ในคดีนี้ ดังนั้น การถอนฟ้องของโจทก์ในคดีก่อนจึงไม่ผูกพันโจทก์ในคดีนี้ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 ที่จำเลยอ้างว่า โจทก์ฟ้องขอคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทเกินหนึ่งปีนับแต่วันถูกแย่งการครอบครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เมื่อจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ในประเด็นดังกล่าวไว้ แม้ปัญหาดังกล่าวจะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลจะยกขึ้นอ้างเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)ก็ตาม แต่ก็ต้องเป็นข้อกฎหมายอันเกิดจากข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ และต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานหลักฐานซึ่งเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคดีจะต้องนำสืบเท่านั้น หากเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากพยานนอกเรื่องนอกประเด็นแล้ว ศาลจะรับฟังและยกขึ้นวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายไม่ได้ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า จำเลยมิได้เข้าปลูกบ้านอาศัยในที่ดินพิพาท บ้านเลขที่ตามฟ้องมิใช่บ้าน ของจำเลย และจำเลยนำสืบว่าจำเลยเข้าไปดูแลบุตรสาวและหลานจำเลยเป็นบางครั้งเท่านั้น ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์จึงเป็นข้อเท็จจริงนอกประเด็น ศาลฎีกาจึงไม่อาจยกข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายในเรื่องอำนาจฟ้องตามที่จำเลยฎีกาขึ้นมาได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองที่ดินเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้าน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด ตลอดจนขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ และห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยให้การว่า โจทก์เคยมอบอำนาจให้นายณรงค์เอี่ยววิบูลย์วิทย์ ซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 137/2537 ของศาลชั้นต้น ต่อมานายณรงค์ได้ขอถอนฟ้องในคดีดังกล่าว ทำให้คดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่เคยเข้าปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินตามที่โจทก์กล่าวอ้าง และจำเลยไม่เคยทำบันทึกยืนยันขอปลูกบ้านอาศัยและปลูกพืชผลในที่ดินของโจทก์ บ้านตามเอกสารท้ายฟ้องเอกสารหมาย 7และ 9 มิใช่บ้านของจำเลย แต่เป็นบ้านของผู้มีชื่อคนอื่น โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และนับแต่ประทานบัตรการทำเหมืองแร่ของโจทก์หมดอายุ โจทก์ก็ได้ละทิ้งการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวนับถึงปัจจุบันเกินกว่า 10 ปี แต่เมื่อราคาที่ดินแปลงดังกล่าวสูงขึ้นโจทก์จึงกลับเข้ามาอ้างสิทธิ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เดิมที่ดินที่พิพาทกันในคดีนี้เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์ได้รับโอนประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่เลขที่ 9597/7450 มาจากบริษัทไซมิสทินซินดิเกต จำกัด ต่อมาเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2516โจทก์ได้ขอประทานบัตรใหม่ตามเขตประทานบัตรเดิมและเจ้าหน้าที่ได้ออกประทานบัตรใหม่เลขที่ 9597/11515 มีอายุ 9 ปี นับแต่วันที่6 กุมภาพันธ์ 2519 จนถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2528 หลังจากนั้นไม่มีการต่ออายุประทานบัตรอีก
ปัญหาข้อแรกที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากจำเลยให้การว่า โจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 137/2537 ของศาลชั้นต้นเคยฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทมาครั้งหนึ่งแล้วแต่ได้ถอนฟ้องไปโดยสละสิทธิในการนำคดีมาฟ้องใหม่ คำร้องขอถอนฟ้องดังกล่าวผูกพันโจทก์ในคดีนี้ด้วย โจทก์ในคดีนี้จึงไม่มีสิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องจำเลยได้อีก และศาลจะต้องนำบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 มาปรับเข้ากับข้อเท็จจริงในคดีนี้ มิใช่นำมาตรา 148 มาปรับ ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยนั้น เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 137/2537ของศาลชั้นต้น ที่จำเลยอ้างไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตอนใดในสำนวนดังกล่าวว่า โจทก์หรือผู้รับมอบอำนาจในคดีดังกล่าวกระทำการแทนบริษัทงานทวีพี่น้อง จำกัด โจทก์ในคดีนี้แต่อย่างใด การถอนฟ้องของโจทก์ในคดีก่อนจึงไม่ผูกพันโจทก์ในคดีนี้ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176และเมื่อโจทก์คดีนี้มิใช่คู่ความเดียวกับคู่ความในคดีก่อนจึงไม่มีปัญหาที่จะต้องพิจารณาว่าคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนหรือไม่
ปัญหาข้อต่อมาที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากโจทก์ไม่ใช่เจ้าของและผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนั้นเห็นว่าพยานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ทำเอกสารหมาย จ.6 คือเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 และ 6 ให้ไว้แก่โจทก์จริง แม้หนังสือดังกล่าวจะไม่ได้ระบุให้ชัดแจ้งว่าบริเวณที่จำเลยขออาศัยกว้างยาวเท่าใด บ้านเลขที่เท่าใดก็ตามแต่โจทก์ก็มีแผนที่แสดงตำแหน่งบริเวณที่จำเลยขอปลูกบ้านอยู่อาศัยและปลูกพืชผลเพื่อทำกินในที่ดินของโจทก์แนบมาด้วยแล้ว ดังนี้ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทที่จำเลยขออยู่อาศัยเป็นของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ส่วนที่จำเลยฎีกาอ้างว่า โจทก์ฟ้องขอคืนซึ่งการครอบครองในที่ดินพิพาทเกินหนึ่งปีนับแต่วันถูกแย่งการครอบครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องด้วยนั้น เห็นว่า จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ในประเด็นดังกล่าว แม้ปัญหาดังกล่าวจะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลจะยกขึ้นอ้างเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ก็ตาม แต่ก็ต้องเป็นข้อกฎหมายอันเกิดจากข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ กล่าวคือต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานหลักฐาน ซึ่งเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคดีจะต้องนำสืบเท่านั้น หากเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากพยานนอกเรื่องนอกประเด็นแล้ว ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า จำเลยมิได้เข้าปลูกบ้านอาศัยในที่ดินพิพาท บ้านเลขที่ตามฟ้องมิใช่บ้านของจำเลย และนำสืบว่าจำเลยเข้าไปดูแลบุตรสาวและหลานจำเลยเป็นบางครั้งเท่านั้นข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทมาจากโจทก์จึงเป็นข้อเท็จจริงนอกประเด็น ศาลฎีกาจึงไม่อาจยกข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยฎีกาได้
พิพากษายืน

Share