คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1222/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ขณะเกิดเหตุจะเป็นเวลาดึกสงัดและมีฝนตกพรำ ๆ แต่ที่เกิดเหตุอยู่บนถนนที่ใช้สำหรับสัญจร ตามสภาพย่อมเป็นที่โล่งผู้เสียหายที่ 2 สามารถเห็นจำเลยได้โดยอาศัยแสงสว่างจากไฟหน้ารถจักรยานยนต์ ทั้งในคืนเกิดเหตุมีแสงจันทร์มองเห็นได้ชัดในระยะเมตรเศษและผู้เสียหายที่ 2 มิได้ถูกบังคับให้นอนคว่ำหน้าคงอุ้มบุตรนั่งดูคนร้ายขณะปลดทรัพย์สินของผู้เสียหายทั้งสอง จากพฤติการณ์ของคนร้ายที่เข้ามาจับแฮนด์รถจักรยานยนต์ ใช้อาวุธปืนและมีดจี้ผู้เสียหายทั้งสองปลดเอาทรัพย์สินไป ทั้งใช้ผ้าขาวม้ามัดผู้เสียหายทั้งสองก่อนจะขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 หลบหนีไปคนร้ายต้องเข้ามาประชิดอยู่ใกล้ ๆ กับผู้เสียหายทั้งสองและใช้เวลานานพอสมควร โอกาสที่ผู้เสียหายที่ 2 จะเห็นและจำหน้าคนร้ายได้ย่อมมีมาก โดยเฉพาะผู้เสียหายที่ 2 รู้จักจำเลยเป็นอย่างดี จึงย่อมสามารถสังเกตและจดจำจำเลยได้โดยง่ายและแม่นยำแม้ว่าจำเลยจะสวมหมวกไหมพรมแบบไอ้โม่งชนิดที่เห็นตาก็ตาม แต่สภาพของหมวกดังกล่าวเมื่อมีช่องให้ตามองเห็น ย่อมทำให้มีช่องว่างให้เห็นหน้าบางส่วน ทั้งหลังเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 ก็บอกผู้เสียหายที่ 1 ทันทีว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมปล้นทรัพย์ จากนั้นยังไปเล่าให้เพื่อนบ้านฟังอีกว่าคนร้ายคือจำเลย และในวันรุ่งขึ้นก็ไปร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยเป็นคนร้าย เมื่อจับจำเลยได้แล้วยังชี้ตัวยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมปล้นทรัพย์ เมื่อผู้เสียหายที่ 2รู้จักจำเลยเป็นอย่างดีโดยเป็นญาติกันและไม่ปรากฏว่าเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนย่อมไม่มีเหตุน่าระแวงสงสัยว่าจะมีเวลาคิดเสริมแต่งเรื่องขึ้นมาทันทีหลังเกิดเหตุเพียงเล็กน้อยว่าจำได้ว่าจำเลยเป็นคนร้าย ทั้งไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยซึ่งเป็นญาติกันโดยไม่มีมูลความจริง กรณีจึงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์จริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนายเนาหรือโฉ้ง ทองเจิม และนายบุญเรืองหรือเทือ ธรรมเจดีย์หรือธรรมใจดี กับพวกอีก 1 คนซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันตระเตรียมอาวุธปืนพกและมีดติดตัวไปปล้นทรัพย์เงินสด 6,300 บาท นาฬิกาข้อมือ 1 เรือน ราคา300 บาท รถจักรยานยนต์ 1 คัน ราคา 9,000 บาท รวมราคาทรัพย์เป็นเงิน 15,600 บาท ของนายเยิ้ม ช่วยนุ้ย ผู้เสียหายที่ 1 และเงินสด12,300 บาท ของนางลัดดา เพชรไพย์ ผู้เสียหายที่ 2 ไป ในการปล้นทรัพย์ดังกล่าวจำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนและมีดที่ตระเตรียมไปจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายทั้งสองว่าในทันใดนั้นจะใช้อาวุธปืนยิง ใช้มีดแทงประทุษร้ายแก่ชีวิตและร่างกายของผู้เสียหายทั้งสอง แล้วใช้ผ้าขาวม้ามัดมือผู้เสียหายมิให้ขัดขืนดิ้นรนต่อสู้ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์ เหตุเกิดที่ตำบลเขาเขน อำเภอปลายพระยา จังหวัดกระบี่ผู้เสียหายที่ 1 ติดตามยึดรถจักรยานยนต์คืนมาได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 340, 340 ตรี และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 18,900 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสอง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี และมาตรา 83 จำคุก 18 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 18,900 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสอง

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง คนร้าย 4 คนมีและใช้อาวุธปืนและมีดร่วมกันปล้นทรัพย์รถจักรยานยนต์ 1 คัน นาฬิกาข้อมือ 1 เรือนและเงินสดรวมราคา 27,900 บาท ของนางเยิ้ม ช่วยนุ้ย ผู้เสียหายที่ 1และนางลัดดา เพชรไพย์ ผู้เสียหายที่ 2 ไปมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งที่ร่วมกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามฟ้องหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนายเยิ้มผู้เสียหายที่ 1 และนางลัดดาผู้เสียหายที่ 2 ว่า ขณะผู้เสียหายที่ 1ขับรถจักรยานยนต์กลับบ้านโดยมีผู้เสียหายที่ 2 นั่งซ้อนท้ายอุ้มบุตรด้วย1 คน เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุเป็นทางขึ้นเนิน ผู้เสียหายที่ 1 ต้องขับช้า ๆขณะนั้นมีคนร้ายคนหนึ่งออกมาจากข้างทางเข้ามาจับที่แฮนด์รถจักรยานยนต์ทำให้รถจักรยานยนต์และผู้เสียหายที่ 1 ล้มลง คนร้ายดังกล่าวชักอาวุธปืนออกมาบังคับให้ผู้เสียหายที่ 1 ให้ฟุบลงแล้วล้วงเอาเงินในกระเป๋ากางเกงของผู้เสียหายที่ 1 ไป ทันใดนั้นมีคนร้ายอีกคนหนึ่งใช้มีดเป็นอาวุธจี้หลังผู้เสียหายที่ 1 ไว้ และมีคนร้ายอีก2 คน เข้ามาเอาเงินจากชายพกผ้าถุงของผู้เสียหายที่ 2 คนร้ายช่วยกันเอาผ้าขาวม้ามัดผู้เสียหายทั้งสองแล้วพากันขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 หลบหนีไป ผู้เสียหายที่ 1 จำไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งด้วยหรือไม่ ส่วนผู้เสียหายที่ 2 จำได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่เข้ามาจับแฮนด์รถจักรยานยนต์และจำเลยเป็นผู้ที่ใช้อาวุธปืนจี้ผู้เสียหายที่ 1และล้วงเอาเงินของผู้เสียหายที่ 1 ไป เห็นว่า แม้ขณะเกิดเหตุจะเป็นเวลากลางคืนซึ่งเป็นเวลาประมาณ 2 นาฬิกา และมีฝนตกพรำ ๆแต่ที่เกิดเหตุอยู่บนถนนที่ใช้สำหรับสัญจร ตามสภาพย่อมเป็นที่โล่งว่างและปรากฏจากคำให้การในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.1 และคำเบิกความในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1025/2532 ของผู้เสียหายที่ 2ว่า สามารถเห็นจำเลยได้โดยอาศัยแสงสว่างจากแสงไฟหน้ารถจักรยานยนต์เห็นจำเลยสวมหมวกไหมพรมโผล่เฉพาะหน้าวิ่งมาที่รถผู้เสียหายเป็นคนแรก ทั้งในคืนเกิดเหตุมีแสงจันทร์มองเห็นได้ชัดในระยะเมตรเศษและขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 มิได้ถูกบังคับให้นอนคว่ำหน้าด้วย คงอุ้มบุตรนั่งดูคนร้ายขณะปลดทรัพย์สินของผู้เสียหายทั้งสอง เมื่อพิจารณาตามพฤติการณ์แห่งคดีที่คนร้ายเข้ามาจับแฮนด์รถจักรยานยนต์ ใช้อาวุธปืนและมีดจี้ผู้เสียหายทั้งสองปลดเอาทรัพย์สินไป ทั้งใช้ผ้าขาวม้ามัดผู้เสียหายทั้งสองก่อนจะขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 หลบหนีไป คนร้ายต้องเข้ามาประชิดอยู่ใกล้ ๆ กับผู้เสียหายทั้งสองและใช้เวลานานพอสมควรคนร้ายมิได้บังคับผู้เสียหายที่ 2 ให้ฟุบหน้า โอกาสที่ผู้เสียหายที่ 2 จะเห็นและจำหน้าคนร้ายได้ย่อมมีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เสียหายที่ 2 รู้จักจำเลยเป็นอย่างดี เนื่องจากมารดาจำเลยเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผู้เสียหายที่ 1เมื่อผู้เสียหายที่ 2 รู้จักสนิทสนมคุ้นเคยกับจำเลยและเห็นจำเลยในระยะใกล้ ๆ เป็นเวลานานพอสมควร ผู้เสียหายที่ 2 ย่อมสามารถสังเกตและจดจำเลยได้โดยง่ายและแม่นยำ แม้จะปรากฏว่าคนร้ายที่ผู้เสียหายที่ 2อ้างว่าจำได้จะสวมหมวกไหมพรมแบบไอ้โม่งปิดคลุมไว้เห็นเฉพาะใบหน้าใกล้บริเวณตาก็ตาม เหตุผลที่จะสนับสนุนให้เห็นว่าผู้เสียหายที่ 2 เห็นและจำได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายคือ หลังเกิดเหตุเพียงเล็กน้อยเมื่อคนร้ายหลบหนีไปแล้ว ผู้เสียหายที่ 2 บอกผู้เสียหายที่ 1 ในทันทีว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งที่ร่วมปล้นทรัพย์ ซึ่งในข้อนี้ผู้เสียหายที่ 1 แม้จะเบิกความว่าจำไม่ได้ว่าคนร้ายเป็นใคร แต่ก็ได้เบิกความยืนยันว่าผู้เสียหายที่ 2 ได้บอกแก่ตนในทันทีว่าจำเลยเป็นคนร้าย ในคืนนั้นผู้เสียหายทั้งสองไปที่บ้านนางติ๋มซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณครึ่งกิโลเมตรก็ได้เล่าให้นางติ๋มฟังว่าหนึ่งในคนร้ายคือจำเลย ครั้นรุ่งเช้าเวลาประมาณ 9 นาฬิกา ผู้เสียหายทั้งสองไปร้องทุกข์หรือกล่าวโทษที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอปลายพระยาก็ยังคงระบุว่าจำเลยเป็นคนร้ายตามเอกสารหมาย จ.5 ในวันนั้นเองผู้เสียหายทั้งสองได้พาเจ้าพนักงานตำรวจไปที่บ้านจำเลยเพื่อจับกุมแต่ไม่พบจำเลยหลังจากนั้นมีการออกหมายจับจำเลยไว้ ต่อมาภายหลังจึงจับจำเลยได้ตามหมายจับ ผู้เสียหายที่ 2 ยังคงไปชี้ตัวจำเลยยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งที่ร่วมกันปล้นทรัพย์ เมื่อผู้เสียหายที่ 2 รู้จักจำเลยเป็นอย่างดี โดยเป็นญาติกัน และไม่ปรากฏว่าเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนย่อมไม่มีเหตุอันควรน่าระแวงสงสัยว่าผู้เสียหายที่ 2 จะมีเวลาคิดเสริมแต่งเรื่องขึ้นมาทันทีหลังเกิดเหตุเพียงเล็กน้อยว่าจำได้ว่าจำเลยเป็นคนร้าย อีกทั้งไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นใด ๆที่จะต้องมาเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยซึ่งเป็นญาติกับผู้เสียหายที่ 1 ในเรื่องที่ไม่มีมูลความจริง จากเหตุผลต่าง ๆ ดังกล่าวมาคดีย่อมฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าผู้เสียหายที่ 2 เห็นและจำจำเลยได้อย่างแม่นยำว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งที่ใช้อาวุธปืนร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหายทั้งสอง ที่จำเลยอ้างว่าผู้เสียหายที่ 2 ให้การในชั้นสอบสวนว่าคนร้ายสวมหมวกแบบไอ้โม่ง คือ คลุมทั้งหมดทั้งแก้มสองข้างและคางคงโผล่เฉพาะส่วนของใบหน้าเท่านั้น แต่ผู้เสียหายที่ 2 เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 1025/2532 ของศาลชั้นต้นว่า ชุดไอ้โม่งของคนร้ายโผล่เฉพาะตา จึงไม่อยู่กับร่องกับรอย เป็นข้อพิรุธน่าสงสัยนั้น เห็นว่า ข้อนี้มิใช่แตกต่างหรือขัดแย้งกันแต่อย่างใด เพราะผู้เสียหายที่ 2 ยังคงยืนยันว่าคนร้ายสวมหมวกแบบไอ้โม่งชนิดที่เห็นตาซึ่งโดยสภาพของหมวกดังกล่าวเมื่อมีช่องว่างให้ตามองเห็น ย่อมทำให้มีช่องว่างให้เห็นหน้าบางส่วน ดังนี้ คำให้การและคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 จึงไม่เป็นพิรุธดังที่จำเลยอ้าง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งที่ร่วมกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามฟ้องและพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share