คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2881/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์ โดยปกปิดความจริงไม่บอกให้โจทก์ทราบว่ายังมีสิ่งปลูกสร้างของผู้อื่นอยู่บนที่ดินดังกล่าว ต่อมาเจ้าของสิ่งปลูกสร้างได้คัดค้านการโอนและจำเลยไม่สามารถทำความตกลงกับเจ้าของสิ่งปลูกสร้างได้จนไม่สามารถโอนที่พิพาทให้โจทก์ตามสัญญา จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องคืนเงินมัดจำและใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๒๔ โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินจากจำเลยเป็นเงิน ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ได้วางมัดจำไว้ ๖๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อถึงวันโอนกรรมสิทธิ์มีผู้คัดค้านการโอนจึงตกลงเลื่อนวันโอนกรรมสิทธิ์ไปและให้จำเลยไปตกลงกับผู้คัดค้าน แต่จำเลยไม่สามารถตกลงกับผู้คัดค้านได้ กลับมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำ โจทก์เห็นว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงได้บอกเลิกสัญญาและให้จำเลยคืนเงินมัดจำแต่จำเลยไม่ยอม ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำ ๖๐๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย และใช้ค่าเสียหาย ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นผู้ขอเลื่อนวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เพื่อไปตกลงกับผู้คัดค้าน เมื่อถึงกำหนดวันโอนโจทก์ไม่ตกลง กลับอ้างว่ามีปัญหาเกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน จำเลยเห็นว่าโจทก์ผิดสัญญา จึงได้ริบมัดจำ ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนมัดจำ ๖๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๒๔ จนถึงวันที่จำเลยชำระเสร็จ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๒๔ จนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๓๑๒๔ ตำบลบางพลัด อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครในราคา ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ได้วางมัดจำไว้ ๖๐๐,๐๐๐ บาท กำหนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันวันที่ ๑๔ กรกฎาคม๒๕๒๔ เมื่อถึงกำหนดวันโอนไม่สามารถโอนได้ เพราะมีคำร้องคัดค้านของนายจิตใส พึ่งขำ กับพวก อ้างว่าสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินที่จะขายเป็นกรรมสิทธิ์ของนายจิตใสกับพวก ขอให้ระงับการทำนิติกรรม เจ้าพนักงานที่ดินได้บันทึกไว้ว่าโจทก์ทราบข้อเท็จจริงในวันนี้จึงขอเลื่อนการดำเนินการจดทะเบียนไป ต่อมาปรากฏว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาของนายจิตใสกับพวกได้ จึงไม่ได้โอนที่ดินกัน ปัญหาคงมีว่าที่โอนที่ดินกันไม่ได้นั้น เป็นความผิดของฝ่ายใด ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าน่าเชื่อว่าจำเลยคงต้องการขายที่พิพาทเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ เมื่อมีผู้มาขอซื้อก็ต้องการขายโดยปกปิดความจริงไม่บอกให้โจทกผู้ซื้อทราบว่ายังมีสิ่งปลูกสร้างของผู้อื่นอยู่บนที่พิพาทนี้และเมื่อถึงวันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อ นายจิตใสกับพวกซึ่งเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างได้มาคัดค้านการโอน และจำเลยไม่สามารถทำความตกลงกับนายจิตใสกับพวกได้ จนไม่สามารถโอนที่พิพาทให้โจทก์ตามสัญญาจึงต้องถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำต้องคืนเงินมัดจำและใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ สำหรับค่าเสียหายตามประเด็นข้อที่สองนั้น เมื่อกำหนดไว้ตามสัญญาเป็นเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาทจำเลยมิได้ฎีกาว่าโจทก์ไม่เสียหายหรือเสียหายน้อยกว่านั้นอย่างไร จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญา แต่โจทก์มาขอเพียง ๓๐๐,๐๐๐ บาท นับว่าเป็นผลดีแก่จำเลยอยู่แล้วไม่มีเหตุที่ศาลจำลดลงไปอีก
พิพากษายืน.

Share