คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 288/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองมาก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้การที่โจทก์เพียงแต่บอกกล่าวบังคับจำนองไปยังผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 735 โดยมิได้ฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยด้วยนั้น จึงไม่ใช่เป็นการบังคับจำนองที่ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 728 เมื่อผู้ร้องไม่ใช่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดที่ดินของผู้ร้องได้ เพราะการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 278 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าทรัพย์ที่จะบังคับคดีเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเมื่อโจทก์รับว่าทรัพย์ที่พิพาทเป็นของผู้ร้องมิใช่ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเช่นนี้ จึงต้องปล่อยทรัพย์พิพาทที่ยึดไว้

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งแปดในฐานะทายาทของนายดี กันยานะ ให้ชำระหนี้จำนอง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งแปดชำระเงินแก่โจทก์ 89,912.49 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยทั้งแปดไม่ชำระโจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 202 ตำบลดอกคำใต้อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา ที่นายดีจำนองไว้กับโจทก์เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้เป็นของผู้ร้องไม่ใช่ของลูกหนี้โจทก์ ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนายดี กันยานะและนายดีได้จำนองไว้กับโจทก์ ต่อมานายดีจึงได้โอนให้แก่ผู้ร้องสิทธิจำนองจึงติดไปด้วย โจทก์ย่อมยึดที่ดินพิพาทมาขายทอดตลาดเอาชำระหนี้จำนองได้ และโจทก์ได้บอกกล่าวบังคับจำนองแก่ผู้ร้องแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ปล่อยที่ดินพิพาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย ร.1 ซึ่งออกภายหลังหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย ร.จ.1 ระบุทิศติดต่อไว้ตรงกันว่า ทิศเหนือจดที่นานายหน่อ ทิศใต้กับทิศตะวันตกจดที่นานายมูล และทิศตะวันออกจดเหมืองจำนวนเนื้อที่ก็ระบุไว้ใกล้เคียงกันมาก เหตุที่เนื้อที่ขาดหายไปไม่ตรงกันคงเนื่องมาจากความผิดพลาดของผู้ทำการรังวัดที่ดินพิพาทและคิดคำนวณมากกว่าเช่นนี้ไม่น่าที่จะเป็นที่ดินคนละแปลงไปได้และทางพิจารณาที่ผู้ร้องนำสืบมาก็ไม่ปรากฏว่านายดีนำที่ดินแปลงอื่นที่มีเนื้อที่ใกล้เคียงกันตั้งอยู่ในทำเลเดียวกันไปจำนองไว้กับโจทก์ ดังนี้ที่โจทก์นำสืบว่า ที่ดินพิพาทคือที่ดินที่นายดีจำนองไว้กับโจทก์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เอกสารหมาย ร.จ.1จึงเชื่อได้ว่าเป็นความจริง เมื่อเป็นเช่นนี้การที่ภายหลังต่อมาแม้จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย ร.1แล้วออกเป็นโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย ร.3 โดยไม่ระบุรายการจดทะเบียนจำนองไว้กับโจทก์ก็หาทำให้การจำนองสิ้นไปไม่ ที่ดินพิพาทจึงยังติดจำนองโจทก์อยู่ เมื่อผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายดีจึงเป็นผู้รับโอนและพาณิชย์ มาตรา 735 ข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ร้องรับโอนทรัพย์จำนองมาก่อนโจทก์ฟ้องคดี การที่โจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองไปยังผู้ร้องโดยมิได้ฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยด้วยนั้นจึงมิใช่การบังคับจำนองที่ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 728 เมื่อผู้ร้องไม่ใช่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์จึงยังไม่มีสิทธิยึดที่ดินของผู้ร้องได้ เพราะการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 278 นั้นจะต้องเป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าทรัพย์ที่จะบังคับคดีเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา เมื่อโจทก์รับว่าทรัพย์ที่พิพาทเป็นของผู้ร้องมิใช่ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเช่นนี้ จึงต้องปล่อยทรัพย์พิพาทที่ยึดไว้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

Share