คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 288/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีก่อนซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยเป็นผู้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ ผ. โดยโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ร้องคัดค้าน ส่วนคดีนี้ผู้ร้องคัดค้านกลับเป็นโจทก์ฟ้องผู้ร้องขอเป็นจำเลย โจทก์ในคดีนี้จึงมิใช่โจทก์คนเดียวกับคดีก่อน ฟ้องโจทก์จึงหาต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสองไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ที่ 1 เป็นบุตรของนายแหวนและนางสอ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาอีก 5 คนคือ นางน้อย นางสา นางมี นางผาและนางพาโจทก์ที่ 2 เป็น บุตรของนางมี โจทก์ที่ 3 เป็นบุตรของนางน้อยจำเลยเป็นสามีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนางผา ขอสุข น้องโจทก์ที่ 1นายแหวนและนางสอถึงแก่ความตายแล้ว ก่อนตายมีที่ดินนา 1 แปลงซึ่งเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ทั้งสามและนางผาโจทก์ทั้งสามตกลงให้นางผาขอออกโฉนดที่ดินไว้ ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 9550 ตำบลย่ออำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร เนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ นางผาทำประโยชน์ร่วมกับจำเลย เนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ โจทก์ที่ 2 ทำประมาณ12 ไร่ โจทก์ที่ 3 ทำประมาณ 6 ไร่ เมื่อปี 2526 นางผาถึงแก่ความตาย แต่โจทก์ทั้งสามให้จำเลยทำประโยชน์ในที่ดินส่วนที่เคยทำร่วมกับนางผาเรื่อยมา ต่อมาปี 2530 จำเลยยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนางผาอ้างว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของจำเลยกับนางผาทำมาหาได้ร่วมกัน โจทก์ที่ 1 ร้องคัดค้านตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 461/2530ของศาลชั้นต้น คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ปี 2531จำเลยเข้าทำนาแปลงดังกล่าวโดยไม่ยอมให้โจทก์ที่ 2 และที่ 3เข้าทำ โจทก์ทั้งสามบอกให้จำเลยออกจากที่ดินดังกล่าวแต่จำเลยไม่ยอมขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ทั้งสามร่วมกัน ให้จำเลยกับบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าวและห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเดิมเป็นของนายแหวและนางสอ มีเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ หลังจากนายแหวและนางสอตาย ทายาทตกลงแบ่งที่ดินพิพาทเป็น 5 ส่วน ตกแก่โจทก์ที่ 1 นางน้อย นางมี นางพา และนางผาต่อมาจำเลยซื้อที่ดินส่วนของนางน้อย นางมี นางพา รวมเนื้อที่ประมาณ19 ไร่ รวมกับส่วนของนางผาเป็นเนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ นางผาไม่ได้ขอออกโฉนดที่ดินแทนโจทก์ทั้งสามโจทก์ทั้งสามไม่เคยเข้าทำนาในที่พิพาท ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 461/2530 ของศาลชั้นต้น ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ที่ 3 ถึงแก่ความตาย นางอำพรรณ สมจิตรบุตรของโจทก์ที่ 3 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 9550 เป็นของโจทก์ทั้งสาม ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าว ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาขึ้นสู่ศาลฎีกาแต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายตามที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ สำหรับปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง บัญญัติว่า “นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ระหว่างพิจารณาและผลแห่งการนี้
(1) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น และ…”
ปรากฏว่า คดีก่อนจำเลยเป็นผู้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนางผา ขอสุข โดยโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ร้องคัดค้าน ส่วนคดีนี้ผู้ร้องคัดค้านกลับเป็นโจทก์ฟ้อง ผู้ร้องขอเป็นจำเลย โจทก์ในคดีนี้จึงมิใช่โจทก์คนเดียวกันกับคดีก่อน ฟ้องโจทก์จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share