คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2879/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา176ที่ว่าถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องให้ศาลพิพากษาไปได้โดยไม่ต้องสืบพยานนั้นมิได้หมายความว่าเมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วจะต้องพิพากษาลงโทษจำเลยเสมอไปถ้าศาลเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดหรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดศาลย่อมพิพากษายกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา185โดยเฉพาะข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา317วรรคสามกำหนดอัตราโทษขั้นต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่5ปีขึ้นไปศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงจึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้คดีนี้ศาลชั้นต้นสืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแล้วจึงพิพากษาคดีเมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจนเป็นที่น่าพอใจว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา317วรรคสามดังนี้จำเลยจึงมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดการที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ พฤติการณ์ที่ผู้เสียหายขอให้จำเลยพากลับบ้านโดยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยออกไปแต่จำเลยไม่พาผู้เสียหายกลับบ้านแต่พาไปที่บ้านเพื่อนจำเลยที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมผู้เสียหายพักอยู่ที่บ้านดังกล่าวหลายวันและจำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายหลายครั้งแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายเต็มใจไปกับจำเลยหากผู้เสียหายไม่เต็มใจไปกับจำเลยผู้เสียหายก็มีโอกาสจะขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นได้เพราะก่อนที่จำเลยจะพาผู้เสียหายไปที่อำเภอสามพรานจำเลยยังแวะบ้านเพื่อนจำเลยที่หนองแขมก่อนและปรากฎว่าบ้านที่อำเภอสามพรานที่ผู้เสียหายพักอยู่กับจำเลยนั้นมีคนอื่นอยู่ร่วมด้วยผู้เสียหายก็มิได้ขอความช่วยเหลือแต่เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าขณะที่จำเลยพาผู้เสียหายไปนั้นจำเลยมีความประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เสียหายดังนั้นการที่จำเลยพาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ14ปีเศษจากกรุงเทพมหานครไปอำเภอสามพราน และได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายถือได้ว่าเป็นการพรากเด็กอายุไม่เกิน15ปีไปเสียจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองเพื่อการอนาจารโดยปราศจากเหตุอันสมควรจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา317วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา277, 317, 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, มาตรา 317 วรรคสาม เรียงกระทงลงโทษ ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปี จำคุก 10 ปีฐานพรากเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปีเพื่อการอนาจาร จำคุก 12 ปีรวมจำคุก 22 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 11 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคหนึ่ง และมาตรา 317 วรรคสาม ให้จำคุกกระทงละ8 ปี รวมจำคุก 16 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าเด็กหญิง ก. ผู้เสียหายเกิดวันที่ 9 มีนาคม 2523 ขณะเกิดเหตุอายุ 14 ปีเศษ เป็นบุตรนาย พ. และนางส. บิดามารดาผู้เสียหายไม่ได้จดทะเบียนสมรสและแยกกันอยู่มานานแล้วผู้เสียหายอาศัยอยู่กับนาย พ. ผู้เป็นบิดา จำเลยและผู้เสียหายรู้จักกันมาก่อนเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2538 เวลาประมาณ20 นาฬิกา ขณะผู้เสียหายอยู่ที่ห้างโรบินสัน สาขาสีลมผู้เสียหายพบจำเลยที่ห้างดังกล่าว ผู้เสียหายขอให้จำเลยไปส่งที่บ้านโดยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยไป แต่จำเลยไม่พาผู้เสียหายไปส่งบ้านกลับพาไปที่บ้านเพื่อนจำเลยที่อำเภอสามพรานจังหวัดนครปฐม จนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2538มารดาจำเลยจึงนำจำเลยและผู้เสียหายกลับ ระหว่างที่จำเลยและผู้เสียหายพักอยู่ด้วยกันจำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายหลายครั้ง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 หรือไม่จำเลยฎีกาว่า แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพในความผิดฐานนี้แต่ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้ก็ต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานของโจทก์ว่า จำเลยได้กระทำความผิดจริง จำเลยอุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้กระทำความผิดแต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย เป็นการไม่ชอบนั้น พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176บัญญัติว่า “ในชั้นพิจารณา ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ เว้นแต่คดีที่มีข้อหาในความผิดซึ่งจำเลยรับสารภาพนั้น กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง” เห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวที่ว่า ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ให้ศาลพิพากษาไปได้โดยไม่ต้องสืบพยานนั้น มิได้หมายความว่า เมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วจะต้องพิพากษาลงโทษจำเลยเสมอไป ถ้าศาลเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดหรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185โดยเฉพาะข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสามกำหนดอัตราโทษขั้นต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง จึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้ และคดีนี้ศาลชั้นต้นก็ได้สืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยด้วยแล้วจึงพิพากษาคดี เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจนเป็นที่พอใจว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสามดังนี้ จำเลยจึงมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานของโจทก์ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิด การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าวแต่เพื่อไม่ให้คดีล่าช้าศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาก่อนในปัญหาที่ว่า จำเลยได้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคสาม หรือไม่นั้น จำเลยฎีกาว่า จำเลยกับผู้เสียหายรักใคร่ชอบพอกัน ผู้เสียหายให้จำเลยพาหนี หากผู้เสียหายไม่เต็มใจไปกับจำเลย ผู้เสียหายมีโอกาสจะหลบหนีได้ ทั้งบ้านที่จำเลยพาผู้เสียหายไปพักนั้นก็มีบุคคลอื่น ๆ อยู่ร่วมด้วยหลายคน ผู้เสียหายมีโอกาสขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นการกระทำของจำเลยฟังได้ว่ามีเหตุอันสมควร ไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารนั้นพิเคราะห์แล้วได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่าผู้เสียหายรู้จักกับจำเลยเมื่อเดือนกันยายน 2537 จำเลยเคยไปพบผู้เสียหายที่บ้านของผู้เสียหายและผู้เสียหายเคยไปเที่ยวเตร่กับจำเลย เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2538เวลาประมาณ 20 นาฬิกา ขณะที่ผู้เสียหายอยู่ที่ห้างโรบินสันสาขาสีลม เพื่อรอเพื่อนกลับบ้านจำเลยกับเพื่อนจำเลยเข้าไปพบผู้เสียหาย ผู้เสียหายขอให้จำเลยพากลับบ้านโดยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยออกไป แต่จำเลยไม่พาผู้เสียหายกลับบ้านแต่ได้พาไปที่บ้านเพื่อนจำเลยที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมผู้เสียหายพักอยู่ที่บ้านดังกล่าวตลอดมา จนถึงวันที่ 8มกราคม 2538 จำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหาย หลังจากนั้นจำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายอีกประมาณ 7 ถึง 8 ครั้งจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2538 มารดาจำเลยจึงนำผู้เสียหายและจำเลยกลับ ดังนี้ เมื่อฟังประกอบกับคำรับสารภาพของจำเลยแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ดังที่ผู้เสียหายเบิกความ พฤติการณ์ที่ผู้เสียหายไปกับจำเลยดังที่ผู้เสียหายเบิกความแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายเบิกความแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายเต็มใจไปกับจำเลย หากผู้เสียหายไม่เต็มใจไปกับจำเลย ผู้เสียหายก็มีโอกาสจะขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นได้เพราะได้ความว่าก่อนที่จำเลยจะพาผู้เสียหายไปที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมจำเลยยังแวะบ้านเพื่อนจำเลยที่หนองแขมก่อน และปรากฎว่าบ้านที่อำเภอสามพราน ที่ผู้เสียหายพักอยู่กับจำเลยนั้นมีคนอื่นอยู่ร่วมด้วย แต่ผู้เสียหายก็มิได้ขอความช่วยเหลือส่วนที่จำเลยอ้างว่าพฤติการณ์แห่งคดีปรากฎว่าจำเลยไม่มีภริยาและเป็นการพาผู้เสียหายไปเพื่อภริยา จึงไม่ใช่เป็นการพาไปเพื่อการอนาจารนั้น ข้อเท็จจริงในคดีนี้ยังฟังไม่ได้ว่าขณะที่จำเลยพาผู้เสียหายไปนั้น จำเลยมีความประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เสียหาย ข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น เห็นว่าการที่จำเลยพาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 14 ปีเศษจากกรุงเทพมหานครไปที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม และได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหาย ถือได้ว่าเป็นการพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองเพื่อการอนาจารโดยปราศจากเหตุอันสมควร อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317วรรคสาม ตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาว่า ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางอนุญาตให้จำเลยสมรสกับผู้เสียหาย จำเลยกับผู้เสียหายได้จดทะเบียนสมรสกันแล้วตามใบสำคัญการสมรสและคำสั่งศาลเยาวชนและครอบครัวกลางแนบท้ายฎีกาจำเลยจึงไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคท้ายนั้นพิเคราะห์แล้วจำเลยได้แนบคำสั่งศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง คดีหมายเลขแดงที่ 1129/2539 และใบสำคัญการสมรสท้ายฎีกา โจทก์รับสำเนาฎีกาแล้วไม่แก้ฎีกาหรือคัดค้าน ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่จำเลยฎีกา จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277วรรคท้าย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 ในสถานเบาหรือรอการลงโทษนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 20 ปี พฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่าจำเลยกับผู้เสียหายรักใคร่ชอบพอกันมาก่อนและต่อมาได้จดทะเบียนสมรสกันแล้ว สมควรลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยลงหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 และกรณีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกไว้เพื่อให้โอกาสจำเลยได้กลับตนเป็นพลเมืองดีสักครั้งหนึ่งฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 ให้ยกฟ้อง ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคท้าย จำเลยอายุไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ลงหนึ่งในสามแล้ว ให้จำคุกจำเลย4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก2 ปี ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share