คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2872/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับพิพาทจะออกเพื่อชำระดอกเบี้ยของหนี้เดิมที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ก่อนก็ตาม เมื่อจำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ชำระหนี้นั้น จำนวนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจึงกลายเป็นหนี้ใหม่และเป็นต้นเงินไปเสียแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากเงินจำนวนหนี้ หาใช่เป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชำระค่าดอกเบี้ยค้างชำระให้แก่โจทก์ จำนวนเงิน 3,287,932.84 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อ ปี กำหนดชำระเงินวันที่ 30 มีนาคม 2530ต่อมาวันที่ 29 พฤษภาคม 2529 จำเลยได้รับตั๋วสัญญาใช้เงินจากโจทก์เพื่อนำไปให้ธนาคารอาวัลตั๋วให้จำเลย แต่จำเลยมิได้ดำเนินการและเมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยมิได้ใช้เงินตามตั๋วให้แก่โจทก์จำเลยจึงต้องรับผิดใช้เงินตามตั๋วพร้อมดอกเบี้ยจากต้นเงินดังกล่าวถึงวันฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 4,150,623.26 บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงิน 3,287,932.84 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระให้เสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์อ้างว่าจำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวเพื่อชำระดอกเบี้ยที่จำเลยค้างชำระและโจทก์ยังขอให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยจากเงินดังกล่าวอีกซึ่งเป็นการคิดดอกเบี้ยต้องห้ามตามกฎหมายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 4,151,623.26 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปีของต้นเงิน 3,287,932.84บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาที่ว่า โจทก์จะมีสิทธิได้ดอกเบี้ยจากต้นเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับพิพาทตามที่กำหนดไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงินหรือไม่ เห็นว่าแม้ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับพิพาทจะออกเพื่อชำระดอกเบี้ยของหนี้เดิมที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ก่อนก็ตาม เมื่อจำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ชำระหนี้นั้น จำนวนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจึงกลายเป็นหนี้ใหม่ และเป็นเงินต้นไปเสียแล้วโจทก์จึงมีสิทธิได้ดอกเบี้ยจากเงินจำนวนนี้ หาใช่การคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยไม่
พิพากษายืน

Share