แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องต้องอยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 โดยต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความและเหตุผลในการตัดสินทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายจึงจะเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองสมคบกันโดยทุจริตหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความเป็นเท็จปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของที่ดิน ๒ แปลงและมีอำนาจจัดสรรที่ดินได้ตามกฎหมาย ทำให้โจทก์หลงเชื่อยอมตกลงซื้อและทำสัญญาจะซื้อจะขายพร้อมกับชำระเงินมัดจำจำนวนหนึ่ง ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว และไม่มีอำนาจจัดสรรที่ดินตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑, ๓๔๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า พิเคราะห์หลักฐานของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าเท่าที่โจทก์นำสืบมาการกระทำของจำเลยไม่มีมูลเป็นความผิดในทางอาญาดังที่โจทก์กล่าวอ้าง คดีโจทก์หามีมูลไม่ อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๗ ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่า คำสั่งศาลชั้นต้นไม่แสดงข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความและเหตุผลในการตัดสิน ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามควรแก่รูปคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำสั่งศาลชั้นต้นมีข้อเท็จจริงและเหตุผลพอสมควรในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นแม้เป็นคำสั่งว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลให้ยกฟ้องโจทก์ ก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๖ คือต้องมีข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความ และเหตุผลในการตัดสินทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย แต่คำสั่งของศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความประการใด และไม่ได้ให้เหตุผลว่าการกระทำของจำเลยไม่มีมูลเป็นความผิดเพราะเหตุใด จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๖(๕), (๖)
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ โดยปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๖