คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 287/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยจ้างเหมาช่วงให้โจทก์ทำการก่อสร้างอาคารที่จำเลยประมูลได้ ต่อมาจำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้าดำเนินการก่อสร้างและเข้าดำเนินการเสียเอง ถือได้ว่าโจทก์จำเลยเลิกสัญญากันโดยปริยาย คู่สัญญาจึงต่างกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม สำหรับการงานที่โจทก์ได้กระทำไปแล้วโจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับชดใช้เงินตามควรค่าแห่งการงานนั้นๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 แต่สิทธิเรียกร้องของโจทก์ดังกล่าวต้องตกอยู่ในอายุความสองปีตามมาตรา 165(7)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนกรกฎาคม 2516 ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้จ้างโจทก์ให้รับเหมาช่วงทำการก่อสร้างอาคารธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาอำเภอบ้านนา และสาขาอำเภอลาดยาวจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งจำเลยประมูลการก่อสร้างได้ในราคา 4,250,000 บาทโดยโจทก์เป็นผู้จัดหาสัมภาระ โจทก์ได้ลงมือก่อสร้างตั้งแต่เดือนกรกฎาคม2516 จนถึงเดือนมกราคม 2517 จำเลยได้กลั่นแกล้งขัดขวางไม่ยอมให้โจทก์ทำการก่อสร้างต่อไปโดยโจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ได้ใช้จ่ายไป 979,835 บาท พร้อมดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนมกราคม 2517

จำเลยให้การว่า จำเลยได้จ้างโจทก์เฉพาะแรงงาน โดยจำเลยเป็นผู้จัดหาวัสดุเอง โจทก์ทิ้งงานไม่จ่ายค่าแรงคนงานทั้ง ๆ ที่จำเลยจ่ายค่าจ้างไปแล้ว จำเลยจึงเข้าก่อสร้างเสียเอง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยให้โจทก์รับเหมาค่าแรงแล้วโจทก์ทิ้งงานไป ไม่ใช่รับเหมาก่อสร้างตามฟ้อง ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นเรื่องอายุความ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เห็นพ้องในผลพิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ประมูลการก่อสร้างธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาอำเภอบ้านนา และสาขาอำเภอลาดยาว จากธนาคารกรุงไทย จำกัด สำนักงานใหญ่ แล้วจ้างเหมาช่วงให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างแทนโจทก์ลงมือก่อสร้างเมื่อประมาณกลางเดือนกรกฎาคม 2516 จนถึงเดือนมกราคม 2517 จากนั้นจำเลยไม่ยอมให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างต่อไปและเข้าดำเนินการเสียเอง ขอให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ได้ลงทุนใช้จ่ายไปในการก่อสร้างพร้อมด้วยดอกเบี้ยนั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่าแม้ความจริงจะเป็นตามคำฟ้องของโจทก์ เมื่อจำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้าดำเนินการก่อสร้างและเข้าดำเนินการเสียเอง โดยโจทก์มิได้เรียกร้องเพื่อเข้าดำเนินการก่อสร้างต่อไป ถือได้ว่าโจทก์จำเลยเจตนาเลิกสัญญากันโดยปริยาย คู่สัญญาต่างกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมสำหรับการงานที่โจทก์ได้กระทำไปแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับการชดใช้เงินตามควรค่าแห่งการงานนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 แต่สิทธิเรียกร้องของโจทก์ดังกล่าวก็ต้องตกอยู่ในอายุความ2 ปี ตามมาตรา 165(7) นับตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2517 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ถือได้ว่าโจทก์จำเลยเลิกสัญญากันและโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2520 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ เป็นเวลากว่าสองปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นเรื่องที่โจทก์รับเหมาค่าแรงงานตามที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้หรือไม่ ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ยกปัญหาเรื่องอายุความขึ้นวินิจฉัยโดยจำเลยมิได้อุทธรณ์ เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่านอกจากจำเลยจะได้ให้การต่อสู้คดีไว้แล้ว จำเลยยังกล่าวในคำแก้อุทธรณ์ด้วยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยยกปัญหาเรื่องอายุความขึ้นวินิจฉัยชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share