แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 นั้น บทบัญญัติมาตรา 55 (4)และมาตรา 71 (1) (2) ต้องอยู่ในเงื่อนไขของมาตรา 21 ดังนั้นเมื่อโจทก์ขับขี่รถมาถึงสี่แยกที่เกิดเหตุ โจทก์ก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาณจราจรและเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้ หากปรากฏว่าสี่แยกด้านที่โจทก์ขับขี่รถมามีป้ายสัญญาณจราจรให้หยุดเพื่อดูความปลอดภัย แต่โจทก์กลับขับขี่รถแล่นออกไปโดยไม่ได้หยุดและชนกับรถที่จำเลยที่ 1 ขับขี่แล่นผ่านสี่แยกจากอีกด้านหนึ่งด้วยความเร็วสูง แม้ว่าเป็นความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่ก็นับว่าโจทก์มีส่วนประมาทด้วย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ขับรถประมาท โดยขับรถด้วยความเร็วสูงมากและไม่หยุดตรงทางแยกให้รถที่โจทก์ขับผ่านไปก่อนเป็นเหตุให้ชนรถของโจทก์ที่ผ่านทางแยกอีกด้านหนึ่งมา โจทก์ได้รับบาดเจ็บ ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างและทำงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ขอให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ใช้ค่าเสียหาย ๖๕,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นลูกจ้างและไม่ได้ทำงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ โจทก์ประมาทฝ่ายเดียว เพราะสี่แยกด้านที่โจทก์ขับรถมาเป็นทางโทมีเครื่องหมายจราจร ‘หยุด’ โจทก์ต้องหยุดให้รถของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นรถในทางเอกผ่านไปก่อน แต่โจทก์ไม่หยุดจึงเกิดเหตุชนกันขึ้น ค่าเสียหายไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยที่ ๑ ต่างขับรถด้วยความประมาท และจำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายประมาทมากกว่า ค่าเสียหายของโจทก์ ๔๕,๖๘๕ บาท แต่โจทก์มีส่วนประมาทอยู่ด้วย เห็นควรให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้เพียง ๓๐,๐๐๐ บาท ส่วนจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องร่วมรับผิด พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้ค่าเสียหาย ๓๐,๐๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในชั้นฎีกานี้คดีมีปัญหาว่า โจทก์มีส่วนประมาทด้วยหรือไม่ในปัญหาว่า โจทก์มีส่วนประมาทหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยที่ ๒ นำสืบตรงกันมีว่าโจทก์ขับรถยนต์ปิกอัพจากพระแท่นมุ่งหน้าไปทางท่าเรือรถบรรทุกของจำเลยที่ ๒ แล่นด้วยความเร็วสูงจากท่ามะกาจะไปท่าม่วง ชนกันที่สี่แยกตรงจุดชนตามแผนที่เกิดเหตุ รถโจทก์แล่นไปได้ ๒๕.๗๐ เมตร อีก ๔.๒๐ เมตร จะถึงแนวขอบถนนด้านซ้ายที่รถจำเลยที่ ๒ แล่นมา ไม่มีรอยห้ามล้อของรถยนต์บรรทุกสิบล้อ ในข้อที่โจทก์ว่าโจทก์ไม่ได้ประมาท โจทก์เบิกความว่า เมื่อถึงสี่แยกโจทก์หยุดรถ มองซ้ายขวาแล้วไม่มีรถจึงขับผ่านสี่แยก ฝ่ายจำเลย นายชัยยศซึ่งขับรถสวนทางกับรถโจทก์เบิกความว่า เมื่อขับรถถึงสี่แยกมองไปตรงหน้าไม่เห็นรถโจทก์ มองไปทางขวามือเห็นรถบรรทุกสิบล้อคันหนึ่งแล่นมาห่างพยานประมาณ ๑๐๐ เมตร มองไปทางซ้ายก็รู้สึกตัวว่ารถถูกชน นายชัยยศมีฐานะเป็นคนกลาง ไม่ได้เป็นฝ่ายโจทก์หรือจำเลยในกรณีรถโจทก์จำเลยชนกัน จึงมีน้ำหนักดีกว่าโจทก์และเมื่อพิเคราะห์ตามแผนที่เกิดเหตุ รถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๒ ไม่มีรอยห้ามล้อ แสดงว่าคนขับรถคือจำเลยที่ ๑ ไม่ได้มองเห็นรถโจทก์เลย ที่เป็นเช่นนั้นน่าจะเป็นเพราะรถโจทก์ได้แล่นผ่านป้ายที่บอกให้หยุดโดยไม่หยุดดูความปลอดภัยให้ดีเสียก่อน และตามที่โจทก์ว่า ตอนแรกที่โจทก์เห็นรถจำเลยที่ ๒ ห่างโจทก์ประมาณ ๒๐๐ เมตร ซึ่งถ้าห่างถึงขนาดนั้นจริงรถโจทก์แล่นผ่านความกว้างของสี่แยกประมาณ ๓๐ เมตร ได้อย่างปลอดภัย จึงเชื่อได้ว่ารถโจทก์ได้แล่นผ่านป้ายที่บอกให้หยุดเพื่อดูความปลอดภัยโดยไม่ได้หยุด แต่แล่นออกมาเลย ประกอบกับรถจำเลยที่ ๒ แล่นด้วยความเร็วสูงจึงเกิดชนกัน แม้ว่าเป็นความประมาทของจำเลยที่ ๑ คนขับรถของจำเลยที่ ๒ แต่โจทก์ก็นับว่ามีส่วนประมาทด้วย ตามที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ปฏิบัติถูกต้องตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๕ (๔) และมาตรา ๗๑ (๑) (๒) นั้น เห็นว่าบทกฎหมายดังกล่าวต้องอยู่ในเงื่อนไขของมาตรา ๒๑ ก่อนคือผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาณจราจรและเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้ตามแผนที่เกิดเหตุในเอกสารหมาย จ.๕ ที่พนักงานสอบสวนทำมามีป้ายหยุดอยู่ ซึ่งโจทก์จะต้องปฏิบัติตามเครื่องหมายดังกล่าว เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตาม โจทก์ก็ไม่อาจอ้างมาตรา ๕๕ (๔) และมาตรา ๗๑ (๑) (๒)ได้ ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า โจทก์มีส่วนประมาท จึงชอบแล้ว….. ฯลฯ…..
พิพากษายืน.