คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 52/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 2 ช่วยปัดขี้เลื่อยให้จำเลยที่ 3 ในขณะที่จำเลยที่ 3 ใช้เครื่องเลื่อยยนต์แปรรูปไม้ยางของกลางนั้น ย่อมเป็นการแบ่งหน้าที่กับจำเลยที่ 3 ในการร่วมกันแปรรูปไม้ เป็นการร่วมกันในการกระทำความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งเครื่องเลื่อยยนต์ (ยี่ห้อสตีล) พร้อมโซ่และบาร์ จำนวน 2 เครื่อง ราคา 14,000 บาท ค่าอากร 4,200บาท รวมราคาและค่าอากรเป็นเงิน 18,200 บาท อันเป็นของซึ่งจำเลยทั้งสี่รู้ว่าเป็นของที่มีผู้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ข้อห้ามอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายครั้นเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2538 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำไม้ยางซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. โดยร่วมกันตัดไม้ยางออกจากต้นจำนวน 1 ต้น แล้วจำเลยทั้งสี่ร่วมกันแปรรูปไม้ยางโดยใช้เลื่อยโซ่ยนต์ดังกล่าว เลื่อยออกเป็นชิ้นและเหลี่ยมจำนวน18 ชิ้น/เหลี่ยม รวมปริมาตร 1.31 ลูกบาศก์เมตร และจำเลยทั้งสี่ร่วมกันมีไม้ยางซึ่งแปรรูปดังกล่าวไว้ในครอบครองของจำเลยทั้งสี่ ซึ่งมีปริมาตรเกินกว่า 0.20 ลูกบาศก์เมตรที่กฎหมายกำหนดห้ามไว้โดยจำเลยทั้งสี่ไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่และไม่ได้รับยกเว้นตามกฎหมายมีผู้ประสงค์ขอรับเงินสินบนนำจับนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยทั้งสี่ได้พร้อมด้วยไม้ยางแปรรูปกับเลื่อยโซ่พร้อมโซ่และบาร์จำนวนดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5,6, 7, 8, 9 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 7, 11, 47, 48, 73, 74, 74 ทวิ,74 จัตวา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ริบของกลาง และจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับและจ่ายรางวัลแก่ผู้จับตามกฎหมาย

จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 11, 48 วรรคหนึ่ง,73 วรรคสอง (ที่ถูก 73 วรรคสอง (1)) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานร่วมกันซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรข้อห้าม หรือข้อจำกัด จำคุกคนละ 1 ปีฐานร่วมกันแปรรูปไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในครอบครองเป็นจำนวนเกิน 0.20 ลูกบาศก์เมตร จำคุกคนละ 1 ปีรวมจำคุกคนละ 4 ปี ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 และคำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คนละกึ่งหนึ่ง และลดโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จำคุกคนละ 2 ปีจำเลยที่ 2 จำคุก 2 ปี 8 เดือน ริบของกลาง ให้จ่ายสินบนร้อยละ 30 และจ่ายรางวัลร้อยละ 25 ของราคาเลื่อยโซ่ยนต์ของกลางแก่ผู้นำจับและผู้จับตามกฎหมาย

จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดฐานร่วมกันทำไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตอีกข้อหาหนึ่งโดยจำคุกคนละ 1 ปี ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นส่วนความผิดฐานร่วมกันรับไว้ด้วยประการใด ๆ ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ข้อห้าม หรือข้อจำกัด จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 6เดือน ลดโทษให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คนละกึ่งหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 2 ลดให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คนละ 3 เดือนและคงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 เดือน รวมกับโทษข้อหาอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คนละ 1 ปี 9 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งสี่ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องโดยร่วมกันมีไว้ซึ่งเครื่องเลื่อยยนต์ที่มีผู้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรจำนวน 2 เครื่อง และร่วมกันใช้เครื่องเลื่อยยนต์ดังกล่าวตัดไม้ยางอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. จำนวน 1 ต้น แล้วแปรรูปออกเป็นชิ้นและเหลี่ยมจำนวน 18 ชิ้น รวมปริมาตร1.31 ลูกบาศก์เมตร ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสี่ได้ในที่เกิดเหตุพร้อมยึดเครื่องเลื่อยยนต์และไม้ยางดังกล่าวทั้งหมดเป็นของกลาง มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ด้วยหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกเพิ่มพูนทองคำ สิบตำรวจตรีจักรกฤษณ์ เหลาไชย และสิบตำรวจตรีประสิทธิ์ โยธาทูล ผู้ร่วมจับกุมเบิกความเป็นประจักษ์พยานว่า เมื่อพยานพากันไปถึงที่เกิดเหตุ พบจำเลยทั้งสี่กำลังช่วยกันเลื่อยไม้โดยใช้เลื่อยยนต์ 2 เครื่อง จึงเข้าจับกุมจำเลยทั้งสี่พร้อมยึดเครื่องเลื่อยยนต์และไม้ยางแปรรูปเป็นของกลาง โดยสิบตำรวจตรีประสิทธิ์ เบิกความตอบคำถามค้านทนายความจำเลยทั้งสี่ด้วยว่า จำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 ถือเลื่อยยนต์คนละเครื่อง จำเลยที่ 1 คอยปัดขี้เลื่อยให้จำเลยที่ 4 ส่วนจำเลยที่ 2 คอยปัดขี้เลื่อยให้จำเลยที่ 3 เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสามไม่เคยรู้จักจำเลยทั้งสี่ ไม่มีเหตุระแวงว่าจะร่วมกันเบิกความให้ผิดความจริง จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ก็เบิกความรับว่าร่วมกันกระทำความผิดตรงตามที่พยานโจทก์ทั้งสามเบิกความ คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสามจึงรับฟังได้มั่นคง ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ต่างเบิกความยืนยันสอดคล้องกันว่าจำเลยที่ 2 เพียงเดินมาถามหานายบุญมาแล้วยืนพูดคุยอยู่กับพวกจำเลยโดยมิได้ร่วมกระทำความผิดนั้น จำเลยที่ 2 หาได้นำนายบุญมามาเบิกความประกอบข้ออ้างของตนทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสี่ก็เพียงให้การปฏิเสธลอย ๆ โดยมิได้กล่าวอ้างไว้เลยว่าจำเลยที่ 2 เพียงเดินมาตามหานายบุญมาตรงที่เกิดเหตุด้วยไม่ ข้อต่อสู้ตามฎีกาจำเลยที่ 2 จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 2ช่วยปัดขี้เลื่อยให้จำเลยที่ 3 ขณะจำเลยที่ 3 ใช้เครื่องเลื่อยยนต์แปรรูปไม้ยางของกลางย่อมเป็นการแบ่งหน้าที่กับจำเลยที่ 3 ในการร่วมกันแปรรูปไม้ ที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ว่า สมควรลงโทษในสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์และจำเลยทั้งสี่ได้ความตรงกันว่า ที่เกิดเหตุมีตอไม้ยาง 1 ตอ แสดงว่ามีการตัดโค่นต้นยางเพียง 1 ต้น ต้นยางดังกล่าวอยู่ในสวนซึ่งเป็นที่ดินมีเจ้าของผู้ครอบครองและห่างหมู่บ้านประมาณ 500 เมตรเท่านั้น โดยรอบ ๆ ที่เกิดเหตุก็เป็นที่นา ที่สวนมิใช่เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือเป็นบริเวณป่าต้นน้ำ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยคดีนี้ทำการตัดไม้ทำลายป่าต้นน้ำลำธารอันเป็นการทำลายทรัพยากรของชาติ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1ที่ 3 และที่ 4 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ที่ร่วมกันกระทำความผิดคดีนี้ก็เพียงหวังผลจากค่าจ้างแปรรูปไม้ยางแค่ 1 ต้น มิใช่เป็นการร่วมกันกระทำเพื่อการค้าตามพฤติการณ์จึงสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 และกรณีเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 ได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงสมควรให้รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยที่ 2 ด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยทั้งสี่ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ฟังขึ้น แต่เมื่อรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยทั้งสี่แล้วเพื่อให้หลาบจำจึงให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสี่ในความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ ทั้งสามกระทงอีกสถานหนึ่ง”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสี่ในความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ ทั้งสามกระทงอีกสถานหนึ่ง โดยให้ปรับกระทงละ 10,000 บาท รวมสามกระทงปรับคนละ 30,000 บาท ลดโทษให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คนละกึ่งหนึ่งกับลดโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสาม คงปรับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คนละ 15,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 คงปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกสำหรับจำเลยทั้งสี่ให้รอการลงโทษไว้คนละ2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share