คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2860/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องอ้างเหตุต่าง ๆ ว่า โจทก์ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย จำเลยไม่มีอำนาจออกคำสั่งให้รื้อถอนอาคารพิพาทจำเลยให้การถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ สรุปได้ว่า อาคารพิพาทปลูกสร้างขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 โจทก์เป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์อาคารหลังจากพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522ใช้บังคับ จึงต้องผูกพันตามกฎหมาย ดังกล่าว เป็นการแก้ข้อกล่าวหาของโจทก์ทุกข้อชัดแจ้งแล้ว ถือไม่ได้ว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีอำนาจพิจารณาข้ออ้างต่าง ๆของโจทก์ประกอบกับเหตุผลของเจ้าพนักงานท้องถิ่นเพื่อฟังข้อเท็จจริงให้ได้เป็นข้อสรุปแล้วปรับกับข้อกฎหมายที่มีอยู่ในเรื่องนั้น ๆ เมื่อปรับได้แล้วจึงมีคำสั่งจะถือว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มิใช่คู่กรณี จึงไม่อาจยกเหตุผลของเจ้าพนักงานท้องถิ่นขึ้นมาโต้เถียงแทนเจ้าพนักงานท้องถิ่นหาได้ไม่ การปลูกสร้างอาคารพิพาทขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 76(3) เมื่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น เห็นว่าเป็นกรณีที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคารพิพาทให้ถูกต้องได้จึงมีอำนาจออกคำสั่งให้รื้อถอน ไม่ว่าอาคารพิพาทจะก่อสร้างเสร็จแล้วหรือไม่ เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองรื้อถอนอาคารทั้งหมด หรือแต่บางส่วนได้ซึ่งมิได้หมายถึงเฉพาะผู้กระทำผิดเท่านั้น เจ้าของหรือผู้ครอบครองที่แม้ไม่ได้เป็นผู้กระทำการก่อสร้างอาคาร ก็ต้องรับผิดในการกระทำนั้นด้วย คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์เกินกว่ากำหนดสามสิบวัน มีผลให้โจทก์ผู้อุทธรณ์มีอำนาจเสนอคดีต่อศาลได้ทันทีโดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยตามขั้นตอนหาใช่จะทำให้คำวินิจฉัยไม่มีสภาพบังคับแต่ประการใดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 13811 พร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารตึก 3 ชั้น เลขที่ 120/430เจ้าพนักงานท้องถิ่น เขตพญาไท มีคำสั่งให้โจทก์ระงับการก่อสร้างและสิ่งให้โจทก์รื้อถอนอาคารของโจทก์ดังกล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นผู้ก่อสร้างดัดแปลงอาคารตึกเลขที่ 120/430 โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่มีจำเลยเป็นประธาน จำเลยและพวกมีคำวินิจฉัย ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์โดยฟังข้อเท็จจริงว่าคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นชอบด้วยกฎหมายทั้งที่โจทก์จดทะเบียนรับโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนสิทธิของโจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย โจทก์มิใช่ผู้กระทำการก่อสร้าง หรือต่อเติมอาคารแต่ประการใด ทั้งอำนาจการออกคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นดังกล่าวต้องเป็นกรณีที่ยังมีการกระทำผิดและฝ่าฝืนต่อกฎหมายซึ่งผู้กระทำผิดจะต้องรับโทษทางอาญา จึงจะสามารถออกคำสั่งให้ระงับการกระทำนั้นได้จำเลยและพวกมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ตามประเด็นโต้แย้งที่โจทก์เสนอต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แต่กลับยกเอาเหตุอื่นนอกประเด็นขึ้นเป็นข้อพิจารณา จำเลยกับพวกวินิจฉัยอุทธรณ์ เกินกว่าระยะเวลาสามสิบวันตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521 มาตรา 181 วรรค 2ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยกับพวก
จำเลยให้การว่า อาคารของโจทก์ไม่มีที่ว่างด้านหน้าอาคารข้อต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ. 2522 ข้อ 76(3) โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์อาคาร ระหว่างที่พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ใช้บังคับ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์ผู้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และการฝ่าฝืนกฎหมายข้างต้นโจทก์ไม่สามารถแก้ไขเพื่อขอรับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงต้องรื้อถอนตามมาตรา 42 การใช้อำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยกับพวกเกินกำหนดสามสิบวัน เป็นเพียงเหตุให้ผู้อุทธรณ์มีสิทธิเสนอคดีต่อศาลได้ทันที โดยไม่จำต้องรอคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามขั้นตอน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า คำฟ้องของโจทก์ ตั้งแต่ข้อ 4.1 ถึง 4.6 ที่อ้างเหตุต่าง ๆ ว่าโจทก์ก็ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย จำเลยไม่มีอำนาจออกคำสั่งให้รื้อถอนอาคารพิพาท และจำเลยไม่ได้ให้การโต้เถียงเหตุผลของโจทก์ในส่วนใหญ่ เพียงแต่ให้การตั้งประเด็นขึ้นใหม่ว่าโจทก์เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารพิพาท ต้องผูกพันตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 จึงต้องถือตามหลักกฎหมายว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องข้อ 4.1 ถึง 4.6 นั้น เห็นว่าจำเลยให้การถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ สรุปได้ว่าอาคารพิพาทปลูกสร้างขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ. 2522 โจทก์เป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์อาคารพิพาทหลังจากพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ใช้บังคับ จึงต้องผูกพันตามกฎหมายดังกล่าวเป็นการแก้ข้อกล่าวหาของโจทก์ทุกข้อชัดแจ้งแล้วจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องข้อ 4.1 ถึง 4.6ตามที่โจทก์ฎีกา
ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีหน้าที่ตามกฎหมาย คือการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ ไม่ใช่คู่กรณีหรือคู่ความ จึงไม่มีสิทธิยกเหตุผลของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ว่าอาคารพิพาทเป็นอาคารที่ต้องถูกรื้อถอนตามกฎหมายหรือไม่ ขึ้นมากล่าวอ้างเพราะเป็นการโต้เถียงแทนเจ้าพนักงานท้องถิ่น นั้น เห็นว่า การที่จำเลยพิจารณาข้ออ้างต่าง ๆของโจทก์ประกอบเหตุผลของเจ้าพนักงานท้องถิ่น เพื่อรับฟังข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยอุทธรณ์ ย่อมเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 51 ทั้งการที่จะวินิจฉัยอุทธรณ์ก็ต้องฟังข้อเท็จจริงให้ได้เป็นข้อสรุปแล้วปรับกับข้อกฎหมายที่มีอยู่ในเรื่องนั้น ๆ เมื่อปรับได้แล้วจึงมีคำสั่ง ดังนั้นคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ในข้อดังกล่าวนี้จึงฟังไม่ขึ้น
โจทก์ฎีกาในข้อต่อมาว่า เจ้าพนักงานท้องถิ่นออกคำสั่งให้โจทก์ระงับการก่อสร้างและรื้อถอนอาคารพิพาทเป็นการไม่ชอบเพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้ก่อสร้างดัดแปลงอาคารพิพาท แต่โจทก์ซื้อและรับโอนอาคารพิพาทเมื่อการก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว การจะออกคำสั่งดังกล่าวจะใช้เฉพาะกรณีที่การก่อสร้างยังไม่เสร็จเท่านั้น เห็นว่าตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 บัญญัติให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจดำเนินการดังนี้ (1) มีคำสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครอง ผู้ควบคุมงาน ผู้ดำเนินการลูกจ้างหรือบริวารของบุคคลดังกล่าว ระงับการก่อสร้างที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายได้ มาตรา 42บัญญัติให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ผู้ควบคุมงานหรือผู้ดำเนินการรื้อถอนอาคารที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดแต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวัน อาคารพิพาทที่โจทก์ซื้อมา ไม่ปรากฎว่ามีการขออนุญาตปลูกสร้าง ทั้งยังได้ความว่าด้านหน้าอาคารติดฟุตบาท แสดงว่าไม่มีที่ว่างด้านหน้าเลยการปลูกสร้างอาคารพิพาทจึงขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 76(3) เมื่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นเห็นว่าไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคารพิพาทให้ถูกต้องได้จึงมีอำนาจออกคำสั่งให้รื้อถอนอาคารพิพาทได้ ไม่ว่าอาคารพิพาทจะก่อสร้างเสร็จแล้วหรือไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์ฎีกาต่อมาว่า เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารที่จะต้องถูกบังคับให้รื้อถอนอาคารตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 จะต้องเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่กระทำผิดต่อกฎหมายดังกล่าวเท่านั้น จะมาบังคับถึงเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารโดยสุจริตและไม่ได้กระทำความผิดไม่ได้ นั้น เห็นว่า ตามมาตรา 40 ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองรื้อถอนอาคารทั้งหมดหรือบางส่วนได้ ตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้หมายถึงเฉพาะผู้กระทำผิดเท่านั้น แต่หมายถึงรวมเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารที่ก่อสร้างผิดต่อบทบัญญัติดังกล่าว แม้ไม่ได้เป็นผู้กระทำการก่อสร้างก็ต้องรับผลของการการทำนั้นด้วย ฎีกาของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์ฎีกาอีกว่า การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์เกินกำหนดสามสิบวันเป็นกรณีไม่สภาพบังคับจึงเป็นการกระทำที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมายนั้น เห็นว่าเมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ไม่เสร็จในสามสิบวันกฎหมายก็ไม่ได้บัญญัติไว้ว่ามีผลเป็นประการใด แสดงว่าไม่มีบทบังคับ จึงไม่ทำให้อำนาจวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในการที่จะวินิจฉัยอุทธรณ์หมดไปคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยังคงมีอำนาจที่จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์อยู่ หากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ล่าช้ามีผลเพียงให้ผู้อุทธรณ์มีอำนาจเสนอคดีต่อศาลได้ทันทีเมื่อพ้นกำหนดเวลาสามสิบวันโดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยตามขั้นตอน หาใช่ไม่มีสภาพบังคับตามที่โจทก์โต้แย้งไม่ ดังนั้น คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่มีจำเลยเป็นประธานกรรมการจึงเป็นคำวินิจฉัยที่ชอบด้วยกฎหมายใช้บังคับได้
พิพากษายืน

Share