คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยซื้อที่พิพาทจากสามีโจทก์และเข้าอยู่ตลอดมา แม้การซื้อขายไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตกเป็นโมฆะ แต่ที่พิพาทเป็นที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ย่อมโอนการครอบครองให้แก่กันได้โดยสละการครอบครองและส่งมอบทรัพย์สิทธิที่ครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1377,1378 จำเลยจึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เนื้อที่ประมาณ 12 ไร่ จำเลยได้เช่าที่ดินแปลงดังกล่าวจากสามีโจทก์เพื่อปลูกอ้อย ต่อมาเมื่อปี 2525 สามีโจทก์ถูกคนร้ายลอบยิงถึงแก่ความตายโจทก์จึงรับโอนมรดกที่ดินแปลงดังกล่าวมาเป็นของโจทก์ โจทก์มีความจำเป็นจะใช้ที่ดินจึงบอกกล่าวให้จำเลยพร้อมบริวารออกไปแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินของโจทก์และให้จำเลยชำระเงินปีละ 2,400 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อที่ดินแปลงพิพาทมาจากนายธีระ สาระสามีโจทก์เมื่อประมาณปลายปี 2520 ต่อจากนั้นจำเลยได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินโดยสงบเปิดเผย โดยเจตนาเป็นเจ้าของจนถึงปัจจุบัน ฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความ ที่พิพาทถ้าให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่เกินปีละ 100 บาท ต่อไร่ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่พิพาทตามหนังสือ น.ส.3 เล่มที่ 1(18) หน้า 101 สารบบเล่มที่ 76 หน้า 1 หมู่ที่ 2 ตำบลจรเข้เผือกอำเภอเมืองกาญจบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ของโจทก์และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปีละ 2,400 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่คู่ความนำสืบรับกันฟังเป็นยุติว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.2 เนื้อที่ 12 ไร่ เดิมเป็นของนายสมพงษ์ มงคลศรีต่อมานายสมพงษ์ถูกนายธีระ สาระ สามีโจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้และยึดที่พิพาทออกขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนายธีระเป็นผู้ซื้อได้จากการขายทอดตลาดในราคา 12,000 บาทจึงได้โอนที่พิพาทเป็นของนายธีระเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2520 ตามหนังสือของศาลจังหวัดกาญจนบุรี เอกสารหมาย ล.1 ต่อมานายธีระถึงแก่ความตายโดยถูกคนร้ายลอบยิงเมื่อปี 2522 โจทก์ในฐานะทายาทและผู้จัดการของผู้ตายได้โอนที่พิพาทมาเป็นของโจทก์ในฐานะผู้รับมรดกเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2525 จำเลยเข้าอยู่หรือครอบครองที่พิพาทมาตั้งแต่ปี 2520 จนกระทั่งปัจจุบัน มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าจำเลยเข้าอยู่ในที่พิพาทโดยซื้อหรือเช่าจากผู้ตาย…”
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์ที่อ้างว่าจำเลยอยู่โดยการเช่าก็มีแต่เพียงคำเบิกความของโจทก์เท่านั้นว่า จำเลยได้มาเช่าแต่ไม่มีหลักฐานบ่งบอกถึงการเช่ามาแสดง และที่อ้างว่าได้รับเงินค่าเช่าจากจำเลยนั้น โจทก์เบิกความว่า จำเลยนำค่าเช่ามาชำระให้กับพยาน บางปีชำระให้ 1,000 บาทเศษบางครั้ง 3 ปีจึงชำระให้ จะชำระให้เมื่อใดจำไม่ได้แล้ว ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ส่วนฝ่ายจำเลย การที่จำเลยได้ขายบ้านให้แก่นางองุ่นนั้นแสดงให้เห็นถึงความเป็นเจ้าของจึงมีอำนาจขายได้ นอกจากนี้จำเลยยังมีนายสมพงษ์ มงคลศรีเจ้าของที่ดินเดิมมาเบิกความสนับสนุนว่า จำเลยได้ซื้อที่พิพาทจากสามีโจทก์และซื้ออ้อยจากพยาน7,000 บาท พยานจึงยอมออกไปและมีนายแถม ละเลิศเจ้าของที่ดินติดกับที่พิพาททางทิศเหนือเบิกความว่าจำเลยได้ซื้อที่พิพาทจากสามีโจทก์และครอบครองมากว่า 10 ปีแล้ว กับมีพันตำรวจโทวัฒนะอยู่เรืองนามเบิกความว่าเป็นเพื่อนกับสามีโจทก์และจำเลยได้รู้เห็นในการที่จำเลยซื้อที่พิพาทจากสามีโจทก์ ดังนี้ พยานจำเลยมีน้ำหนักน่าเชื่อกว่าพยานโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยได้ซื้อที่พิพาทจากสามีโจทก์แล้ว แม้การซื้อขายไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ แต่ที่พิพาทเป็นที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ย่อมโอนการครอบครองให้แก่กันได้โดยสละการครอบครอง และส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377, 1378 จำเลยจึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share