คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2218/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นพนักงานพิธีการสินเชื่อของธนาคาร ก. มีหน้าที่รับชำระหนี้แทนธนาคาร ก. เงินที่จำเลยรับไว้เป็นของธนาคาร ก.จำเลยเบียดบังเอาเงินนั้นไปเป็นของตนโดยทุจริต เป็นความผิดฐานยักยอก ธนาคาร ก. เป็นผู้เสียหาย
การไปรับฝากเงินนอกสถานที่เป็นกิจการของธนาคารที่มอบหมายให้จำเลยกระทำ จำเลยจึงเป็นตัวแทนของธนาคาร ก..

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม 2527 ถึงวันที่4 มิถุนายน 2528 จำเลยซึ่งเป็นพนักกานพิธีการสินเชื่อของธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาพัทลุงผู้เสียหาย ได้รับชำระหนี้เงินกู้จากลูกหนี้ของผู้เสียหาย 3 ครั้ง เป็นเงิน 19,640.14 บาท แล้วเบียดบังเอาเงินดังกล่าวเป็นของตนโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 91 พระราชบัญญติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ให้จำเลยใช้เงิน19,640.14 บาท แก่ผู้เสียหายและนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีหมายเลขดำที่ 1134/2528, 1275/2528, 1276/2528, 1277/2528 และ1278/2528 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91จำคุกกระทงละ 1 ปีรวม 3 กระทง จำคุก 3 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 18,884.01 บาท แก่ผู้เสียหายและนับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1095/2529, 1110/2529 และ 1151/2529 ของศาลชั้นต้น ทั้งนี้ เมื่อรวมโทษที่นับติดต่อกันทุกสำนวนแล้วให้จำคุกจำเลยไว้เพียง 10 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ที่จำเลยฎีกาว่า ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ไม่ใช่ผู้เสียหายนั้นข้อเท็จจริงได้ความตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยเป็นพนักงานพิธีการสินเชื่อของธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาพัทลุง มีหน้าที่รับชำระหนี้แทนธนาคารดังกล่าวจำเลยได้รับชำระหนี้ตามฟ้องในฐานะตัวแทนธนาคารและจำเลยได้ออกหลักฐานเป็นหนังสือแสดงการรับชำระหนี้ตามใบเสร็จรับเงิน เอกสารหมาย จ.13 แต่ยังมิได้ส่งมอบเงินเหล่านั้นต่อธนาคาร จำเลยมีหน้าที่ครอบครองดูแลรักษาเงินนั้น และต้องส่งมอบให้แก่ธนาคาร ดังนั้น เงินที่จำเลยรับไว้จึงเป็นของธนาคารไม่ใช่เป็นของข้าราชการหรือพนักงงานผู้ชำระเงินกู้แต่ละราย เพราะธนาคารดังกล่าวต้องรับผลในการกระทำของจำเลยในอันที่จะไปเรียกเก็บเงินกู้จากผู้กู้ให้ชำระอีกไม่ได้เนื่องจากผู้กู้ทั้งสามรายอาจนำใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานเป็นหนังสือแสดงการรับชำระหนี้มาแสดงว่าได้ชำระหนี้เหล่านั้นแล้ว ธนาคารดังกล่าวจึงเป็นผู้เสียหาย ส่วนข้อที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกาว่าธนาคารดังกล่าวให้จำเลยออกไปรับเงินจากผู้ฝากนอกที่ทำการของธนาคารจึงไม่อาจกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย นั้น เห็นว่า กิจการของธนาคารมีการรับฝากเงินเป็นประการสำคัญ ดังนั้นการที่จำเลยไปรับเงินจากผู้ฝากนอกสถานที่ก็เป็นกิจการของธนาคารที่มอบหมายให้จำเลยกระทำจำเลยจะอ้างว่าจำเลยไม่มีฐานะเป็นตัวแทนของธนาคารและธนาคารดังกล่าวมิใช่ผู้เสียหายในการที่จำเลยไปรับเงินจากผู้ฝากแล้วไม่เอาเข้าบัญชีธนาคารซึ่งเป็นตัวการหาได้ไม่…’
พิพากษายืน.

Share