คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3029/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยมีหน้าที่ดูแลที่สาธารณะภายในเขตรับผิดชอบ การระวังแนวเขตบึงทรายกองดินด้านที่ติดกับที่ดินของโจทก์จำเลยได้ปฏิบัติตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่วางระเบียบปฏิบัติไว้ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบและถูกต้อง การคัดค้านแนวเขตที่ดินพิพาทเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและสุจริตย่อมไม่เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ระเบียบปฏิบัติของกระทรวงมหาดไทยเรื่องการระวังแนวเขตที่สาธารณะมีว่าอย่างไรไม่ใช่กรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง จำเลยจึงนำพยานบุคคลมาสืบได้ว่ากระทรวงมหาดไทยออกระเบียบปฏิบัติในการระวังแนวเขตที่สาธารณะไว้อย่างไร แม้เอกสารเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวที่จำเลยอ้างเป็นพยานจะฟังไม่ได้เพราะไม่ใช่ต้นฉบับและผู้รับรองสำเนามิใช่ผู้มีอำนาจ แต่พยานบุคคลที่จำเลยนำเข้าสืบก็รับฟังได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 205 เลขที่ดิน 28 หน้าสำรวจ 210 ตำบลทรายกองดินอำเภอมีนบุรี กรุงเทพมหานคร โจทก์ได้ยื่นคำขอรังวัดสอบเขตและแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขามีนบุรี จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันละเมิดสิทธิของโจทก์โดยจำเลยที่ 3 และที่ 4 ยอมรับว่าบึงทรายกองดินส่วนที่ติดต่อกับที่ดินพิพาทของโจทก์ความกว้างวัดได้ประมาณ 100 เมตร ทางด้านทิศตะวันออก ส่วนทางด้านทิศตะวันตกวัดได้ประมาณ 68 เมตร แต่จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 อาศัยหลักเขตจากโฉนดที่ดินเลขที่ 204 ซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับที่ดินแปลงพิพาทของโจทก์ เป็นแนวเขตในการรังวัดทำให้เห็นว่าโจทก์รังวัดล้ำไปในเนื้อที่ของบึงทรายกองดินการคำนวณของจำเลยทั้งสี่คลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่สุจริต เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสี่รับรองแนวเขตและมิให้คัดค้านการรังวัดแบ่งแยกโฉนดเลขที่ 205 ของโจทก์ ถ้าจำเลยทั้งสี่ไม่ยอมลงชื่อในการรังวัดสอบเขตและแบ่งแยกโฉนดดังกล่าว ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4คัดค้านแนวเขตที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 205 เพราะโจทก์นำชี้รุกล้ำบึงทรายกองดิน ซึ่งเป็นที่สาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันและอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยทั้งสี่ ทำให้พื้นที่ของบึงทรายกองดินขาดหายไป รัฐได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 3และที่ 4 จึงไม่สามารถจะรับรองแนวเขตตามที่โจทก์นำชี้ได้ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อที่ต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกามีว่า จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำละเมิดสิทธิของโจทก์โดยร่วมกันคัดค้านแนวเขตที่ดินพิพาทตามที่โจทก์นำช่วงรังวัดสอบเขตโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่สุจริตหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เดิมที่ดินทุกโฉนดในบริเวณรอบ ๆ บึงทรายกองดินไม่มีหลักหินแสดงแนวเขตของทางราชการ ต่อมาในปี 2525 นายสุดใจ เจริญช่าง เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 28/87 ขอรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินของนายสุดใจดังกล่าวนี้ ทิศเหนือติดกับบึงทรายกองดินทิศใต้ติดกับคลองแสนแสบ ในการรังวัดมีเจ้าของที่ดินข้างเคียงมาระวังแนวเขตทุกด้าน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของทางราชการซึ่งมีหน้าที่ดูแลที่สาธารณะคือเจ้าหน้าที่ของเขตมีนบุรีมาระวังแนวเขตด้านที่ติดกับบึงทรายกองดิน เจ้าหน้าที่ของกรมชลประทานมาระวังแนวเขตที่ติดกับคลองแสนแสบ ในการรังวัดนี้ไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งหรือคัดค้านแนวเขต จึงได้มีการปักหลักหินแสดงแนวเขตของที่ดินโฉนดเลขที่ 28/87 และหลักหินที่แสดงแนวเขตด้านที่ติดกับบึงทรายกองดิน คือหลักหินเลขที่ บ.0680 และง. 3122 จึงต้องถือว่าหลักหินทั้งสองหลักดังกล่าวเป็นหลักเขตที่ถูกต้องแท้จริง ดังนั้นเมื่อโจทก์ขอรังวัดที่ดินของโจทก์ซึ่งอยู่ติดกับบึงทรายกองดิน ฝั่งตรงข้ามกับที่ดินโฉนดเลขที่ 28/87 และข้อเท็จจริงรับกันว่าที่ดินของโจทก์ด้านที่ติดกับบึงทรายกองดินยังไม่มีหลักหินของทางราชการแสดงแนวเขตเพราะโฉนดที่ดินของโจทก์เป็นโฉนดแบบเก่า จำเลยที่ 3 และที่ 4จึงยึดหลักหินเลขที่ บ.0680 และ ง.3122 เป็นหลักในการระวังแนวเขตของ บึงทรายกองดิน โดยโยงระยะจากหลักหินทั้งสองไปยังด้านที่ติดกับที่ดินของโจทก์โดยถือระยะกว้างของบึงตามแผนที่ระวางเป็นเกณฑ์ไปจดจุดใดก็ถือจุดนั้นเป็นแนวเขตของบึงทรายกองดินด้านที่ติดกับที่ดินของโจทก์ เมื่อโจทก์ชี้แนวเขตที่พิพาทซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นที่ดินของโจทก์รุกล้ำเข้าไปในแนวที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ถือเป็นแนวเขตบึงทรายกองดิน ทำให้เนื้อที่ของบึงลดลงเช่นนี้ จำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงคัดค้านการรังวัดและไม่รับรองแนวเขต เพราะถือว่าโจทก์ชี้แนวเขตรุกล้ำเข้าไปในบึงทรายกองดินจำเลยที่ 3 มีหน้าที่ดูแลที่สาธารณะภายในเขตมีนบุรีรวมทั้งบึงทรายกองดิน และจำเลยนำสืบว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ปฏิบัติตามคำสั่งของกระทรวงมหาดไทยที่วางระเบียบปฏิบัติว่า “ถ้าที่ดินฟากตรงข้ามได้มีการปักหลักเขตไว้ก่อนแล้ว ต้องรังวัดยึดโยงหลักเขตให้แผนที่ต่อเชื่อมกันได้” ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ระวังแนวเขตบึงทรายกองดินด้านที่ติดกับที่ดินของโจทก์โดยยึดหลักหินเลขที่ บ.0680 และ ง.3122 ซึ่งเป็นหลักเขตของที่ดินฟากตรงข้ามกับด้านที่จะต้องระวังแนวเขต จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบและถูกต้องแล้ว การคัดค้านแนวเขตที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและสุจริต จำเลยทั้งสี่มิได้ทำละเมิดสิทธิของโจทก์ส่วนในปัญหาที่ว่าทนายจำเลยทั้งสี่ได้รับรองแผนที่พิพาทแล้วนั้น เห็นว่าการรับรองดังกล่าวเป็นเรื่องรับรองว่าเจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่ถูกต้องตรงตามที่โจทก์นำชี้เท่านั้น มิใช่รับรองว่าโจทก์ครอบครองที่ดินตามแผนที่ดังกล่าวจริง การสืบพยานของจำเลยทั้งสี่จึงไม่ใช่เรื่องการสืบพยานแก้ไขเปลี่ยนแปลงแผนที่พิพาทแต่ประการใด
โจทก์ฎีกาว่า เอกสาร ล.8, ล.9, ล.10 และ ล.11 ซึ่งจำเลยอ้างเป็นเพียงสำเนาภาพถ่ายเอกสารเท่านั้น ไม่ใช่ต้นฉบับเอกสารและผู้ลงชื่อรับรองสำเนาเอกสารก็ไม่ใช่ผู้มีอำนาจรับรองได้เอกสารดังกล่าวจึงเป็นพยานเอกสารที่รับฟังไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(3) นั้น เห็นว่า คดีนี้เมื่อไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงเท่านั้นฉะนั้น นอกจากเอกสารดังกล่าวแล้วจำเลยนำพยานบุคคลเข้าสืบให้ฟังได้ว่ากระทรวงมหาดไทยได้ออกระเบียบปฏิบัติในการระวังแนวเขตที่สาธารณะไว้อย่างไร ดังนั้นแม้เอกสารหมาย ล.8, ล.9, ล.10และ ล.11 จะรับฟังไม่ได้ แต่พยานบุคคลที่จำเลยนำเข้าสืบฟังได้ว่ากระทรวงมหาดไทยมีระเบียบให้ปฏิบัติในการระวังแนวเขตที่สาธารณะและจำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้ปฏิบัติตามระเบียบนั้นถูกต้อง”
พิพากษายืน

Share