แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาล ศาลได้พิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดและได้มีคำบังคับให้โจทก์จำเลยปฏิบัติสัญญานั้นแล้ว
ต่อมาโจทก์จำเลยต่อโต้เถียงกันว่าฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา โดยโจทก์ว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้ จำเลยว่าโจทก์ไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ตามนัด ถือว่าโจทก์ผิดสัญญา จำเลยจึงไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ได้จะโอนขายให้ผู้อื่นซึ่งให้ราคาสูงกว่า
ตามสัญญาจำเลยจะต้องทำการรังวัดให้ทราบเนื้อที่ให้แน่นอนและมีหน้าที่แบ่งแยกที่ดินพิพาทกับเจ้าของร่วมคนอื่นก่อน แล้วจึงจะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ได้ จำเลยยังไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวนี้ จะถือว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ได้ โจทก์จึงคงมีสิทธิบังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทตามคำพิพากษาตามยอมได้ บทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 388 เป็นบทใช้กับการเลิกสัญญา แต่กรณีนี้เป็นการบังคับตามคำพิพากษา
ย่อยาว
โจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมความกันต่อหน้าศาล ศาลได้พิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาด และได้มีคำบังคับให้โจทก์จำเลยปฏิบัติตามสัญญานั้นแล้ว สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อสำคัญว่า จำเลยตกลงขายที่ดินแปลงพิพาทให้โจทก์ตามสัญญาซื้อขายท้ายฟ้อง จำเลยยอมนำเจ้าพนักงานรังวัดที่ดินพิพาทเพื่อทราบเนื้อที่แน่นอนภายในกำหนด ๓ เดือน ถ้าไม่เสร็จให้จำเลยแถลงต่อศาล เมื่อจำเลยรังวัดทราบเนื้อที่แน่นอนแล้วจะแจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าก่อน ๗ วัน เพื่อจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์
ต่อมาโจทก์ร้องต่อศาลว่า ได้รับหนังสือจากทนายจำเลยแจ้งว่าได้ทำรังวัดทราบเนื้อที่แน่นอนจะขายแล้ว นัดให้โจทก์ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ โจทก์มิได้รู้เห็นด้วยในการรังวัดจึงไม่แน่ใจว่าเป็นความจริง โจทก์ขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินรายงานผลการรังวัดที่ดินรายนี้ นัดสอบถามคู่ความให้ถูกต้องก่อน ศาลสั่งนัดพร้อมถึงวันนัด จำเลยมาศาลแต่โจทก์ไม่มา จำเลยแถลงว่าได้รังวัดที่พิพาทแน่นอนแล้ว พร้อมจะโอนกรรมสิทธิ์
จำเลยยื่นคำร้องว่าได้แจ้งให้โจทก์มารับโอนและชำระเงิน โจทก์ไม่มาถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้ศาลสั่งถอนอายัดที่พิพาท เพื่อจำเลยจะได้โอนขายให้แก่ผู้อื่น
โจทก์ร้องว่าศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว โจทก์ได้สอบถามเจ้าพนักงานที่ดินทราบว่าการจดทะเบียนโอนยังทำไม่ได้ตามที่จำเลยนัด เพราะจะต้องจดทะเบียนแบ่งแยกระหว่างจำเลยและผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมก่อน ต่อมาโจทก์ได้รับหนังสือจากทนายจำเลยว่า โจทก์ผิดสัญญาและปฏิเสธไม่โอนที่ดินให้โจทก์ จะขายให้ผู้อื่นซึ่งราคาสูงกว่า จึงขอให้ศาลไต่สวนและบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา หากขัดขืนขอให้กักขังจำเลย
จำเลยแถลงคัดค้านว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีสิทธิร้องให้ศาลบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่าจำเลยยังไม่พร้อมที่จะโอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญายอม โจทก์ไม่เป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงมีคำสั่งให้จำเลยจัดการจดทะเบียนแบ่งแยกระหว่างจำเลยกับผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมก่อนแล้วดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันต่อไป
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความสัญญาจึงเป็นอันยกเลิกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๘ โจทก์ไม่มีอำนาจขอให้ศาลบังคับจำเลยโอนขายให้โจทก์
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยจะได้ทำการรังวัดทราบเนื้อที่แน่นอนแล้วก็ตาม แต่จำเลยยังมีหน้าที่จะต้องจดทะเบียนแบ่งแยกกับเจ้าของร่วมคนอื่นก่อนจึงจะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ได้ และจำเลยก็มิได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวนี้ ฉะนั้นจะถือว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ได้ จำเลยจะอาศัยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๘ บังคับในกรณีนี้ไม่ได้เพราะ มาตรา ๓๘๘ เป็นบทบัญญัติสำหรับใช้กับการเลิกสัญญา แต่กรณีนี้เป็นการบังคับตามคำพิพากษา
พิพากษายืน