แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกู้เงินโจทก์ 2,000 บาท โจทก์ให้จำเลยลงชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้เงินโดยข้อความอื่นๆ ยังไม่ได้กรอกลง ภายหลังโจทก์กรอกจำนวนเงินกู้ลงว่า จำเลยกู้โจทก์ 8,500 บาท สัญญากู้นี้จึงเป็นเอกสารปลอม ผู้ใดจะกล่าวแสวงสิทธิจากเอกสารนี้มิได้ คือโจทก์จะอ้างสัญญากู้นี้เป็นพยานไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีพยานหลักฐานการกู้เป็นหนังสือที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยตามสัญญากู้จำนวนเงิน 8,500 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยรวม 13,600 บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยได้เอาเงินโจทก์ไป 2,000 บาท โจทก์จึงให้จำเลยลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในแบบพิมพ์สัญญากู้ยืมเงินโดยไม่ได้กรอกข้อความอย่างใดลงไว้อีก ที่ปรากฏว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ตามหนังสือสัญญากู้ท้ายฟ้อง จึงเป็นการปลอม
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงตามข้อต่อสู้ของจำเลย วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้เป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น แต่เห็นว่าเมื่อจำเลยรับว่าได้กู้เงินโจทก์ไป 2,000 บาทแล้ว โจทก์ไม่ต้องอาศัยสัญญากู้ก็ได้ พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้หนี้โจทก์ 2,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังต้องกันมานั้นปรากฏว่า โจทก์ได้กรอกจำนวนเงินมากไปกว่าที่จำเลยตกลงขอกู้และลงลายมือชื่อให้ไว้ในสัญญากู้ที่ยังไม่ได้กรอกข้อความจึงทำให้เอกสารนั้นเป็นเอกสารปลอม ผู้ใดจะกล่าวอ้างแสวงสิทธิจากเอกสารเช่นนั้นหาได้ไม่ กล่าวคือโจทก์จะอ้างเอกสารนั้นมาเป็นพยานหลักฐานในคดีอย่างใดย่อมไม่ได้ ซึ่งเท่ากับว่าคดีโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานเป็นหนังสือที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 นั่นเอง
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์