แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การชำระอากรเพิ่มตามมาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 3 และในการคำนวณเงินเพิ่ม เศษของเดือนให้นับเป็นหนึ่งเดือน และเงินเพิ่มนั้นให้ถือเป็นเงินอากร จะเห็นได้ว่า กฎหมายมิให้เรียกเก็บเงินเพิ่มดังกล่าวเฉพาะกรณีที่มีการชำระอากรเพิ่มตามมาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 3 เท่านั้น จำเลยสำแดงราคาสินค้าที่นำเข้าต่ำกว่าราคาที่ซื้อขายจริง จึงเป็นกรณีสำแดงเท็จตามมาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 2 ไม่ว่าจะมีผู้แจ้งความนำจับหรือไม่ก็ไม่อาจเป็นกรณีตามมาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 3 เมื่อไม่อาจเป็นกรณีตามมาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 3 จึงเป็นกรณีที่เรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนหรือเศษของเดือนของค่าอากรที่นำมาชำระตามมาตรา 112 จัตวา วรรคหนึ่งและวรรคสามได้ แม้จะมิได้ระบุการเรียกเก็บมาในแบบแจ้งการประเมินก็ตาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าภาษีอากร 3,138,675 บาท และเงินเพิ่มอากรในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนหรือเศษของเดือนของค่าอากร จำนวน 1,221,972 บาท นับแต่วันตรวจปล่อยสินค้าจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระค่าภาษีอากร 3,138,675 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท คำขออื่นให้ยก
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองมีว่า จำเลยต้องชำระเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินอากรขาเข้าจำนวน 1,221,972 บาท นับแต่วันตรวจปล่อยสินค้าจนกว่าจะชำระเสร็จตามมาตรา 112 จัตวา แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว หรือไม่ เห็นว่า ตามมาตรา 112 จัตวา วรรคหนึ่งและวรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว บัญญัติว่า เมื่อผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกนำเงินมาชำระค่าอากรที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่มให้เรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนของค่าอากรที่นำมาชำระโดยไม่คิดทบต้น นับแต่วันที่ได้ส่งมอบหรือส่งของออกจนถึงวันที่นำเงินมาชำระ แต่มิให้เรียกเก็บเงินเพิ่มดังกล่าวในกรณีที่มีการชำระอากรเพิ่มตามมาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 3 และในการคำนวณเงินเพิ่ม เศษของเดือนให้นับเป็นหนึ่งเดือน และเงินเพิ่มนั้นให้ถือเป็นเงินอากร จะเห็นได้ว่า กฎหมายมิให้เรียกเก็บเงินเพิ่มดังกล่าวเฉพาะกรณีที่มีการชำระอากรเพิ่มตามมาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 3 เท่านั้น หากเป็นกรณีอื่น เช่น กรณีที่มีการชำระอากรเพิ่มเนื่องจากมีการสำแดงเท็จตามมาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 2 ย่อมเรียกเก็บเงินเพิ่มดังกล่าวได้ และกรณีที่มีผู้แจ้งความนำจับเพื่อประสงค์เงินสินบนไม่อาจเป็นกรณีตามมาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 3 ตามความเห็นของศาลภาษีอากรกลาง เพราะกรณีตามมาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 3 เป็นกรณีที่มีการตรวจเก็บอากรขาดโดยเจ้าหน้าที่ผู้สำรวจเงินอากรตรวจพบเองเท่านั้น กฎหมายจึงบัญญัติแต่เพียงการจ่ายเงินรางวัลเท่านั้น มิได้บัญญัติถึงการจ่ายเงินสินบนด้วย ต่างกับกรณีสำแดงเท็จตามมาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 2 ที่อาจมีผู้แจ้งความนำจับหรือเจ้าหน้าที่ผู้สำรวจเงินอากรตรวจพบเองก็ได้ กฎหมายจึงบัญญัติทั้งการจ่ายเงินสินบนและเงินรางวัล กล่าวคือ หากเป็นกรณีมีผู้แจ้งความนำจับให้จ่ายทั้งเงินสินบนและเงินรางวัล แต่ถ้าเป็นกรณีที่ไม่มีผู้แจ้งความนำจับก็ให้จ่ายเป็นเงินรางวัลซึ่งมีอัตราต่ำกว่ากรณีมีผู้แจ้งความนำจับ ฉะนั้นจะเป็นกรณีตามมาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 2 หรืออนุมาตรา 3 สาระสำคัญจึงอยู่ที่การเรียกเก็บอากรเพิ่มนั้น เนื่องจากมีการสำแดงเท็จหรือไม่ หากมีการสำแดงเท็จย่อมจะเป็นกรณีตามมาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 2 จึงเรียกเก็บเงินเพิ่มอีกร้อยละหนึ่งต่อเดือนหรือเศษของเดือนของค่าอากรที่นำมาชำระตามมาตรา 112 จัตวา วรรคหนึ่งและวรรคสามได้ ไม่ว่าจะมีผู้แจ้งความนำจับหรือไม่ก็ตาม นอกจากนี้การเรียกเก็บเงินเพิ่มดังกล่าวย่อมกระทำได้ แม้จะมิได้ระบุไว้ในแบบแจ้งการประเมินก็ตาม เพราะเป็นกรณีเรียกเก็บเงินเพิ่มตามที่กฎหมายคือมาตรา 112 จัตวา วรรคหนึ่งและวรรคสาม บัญญัติไว้ โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่อาจใช้ดุลพินิจไม่เรียกเก็บได้ ต่างจากการเรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละยี่สิบของจำนวนค่าอากรที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่มที่มาตรา 112 ตรี ให้อำนาจอธิบดีของโจทก์ที่ 1 ที่จะเรียกเก็บหรือไม่ก็ได้ หากเรียกเก็บจึงต้องระบุไว้ในแบบแจ้งการประเมิน คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยสำแดงราคาสินค้าที่นำเข้าต่ำกว่าราคาที่ซื้อขายจริง จึงเป็นกรณีสำแดงเท็จตามมาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 2 ไม่ว่าจะมีผู้แจ้งความนำจับหรือไม่ก็ไม่อาจเป็นกรณีตามมาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 3 เมื่อไม่อาจเป็นกรณีตามมาตรา 102 ตรี อนุมาตรา 3 จึงเป็นกรณีที่เรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนหรือเศษของเดือนของค่าอากรที่นำมาชำระตามมาตรา 112 จัตวา วรรคหนึ่งและวรรคสามได้ แม้จะมิได้ระบุการเรียกเก็บมาในแบบแจ้งการประเมินก็ตาม ที่ศาลภาษีอากรกลางมิให้เรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราดังกล่าว ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรจึงไม่เห็นด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินเพิ่มอากรในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนหรือเศษของเดือนของค่าอากรจำนวน 1,221,972 บาท นับแต่วันตรวจปล่อยสินค้าจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.