แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทได้จากการขายทอดตลาด ตามคำสั่งศาลโดยสุจริต แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1330 บัญญัติเพียงว่าสิทธิของผู้ซื้อไม่เสียไปแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่ของจำเลย มิได้คุ้มครองถึงกับให้ผู้ซื้อได้สิทธิโดยปลอดจากภาระผูกพันใด ๆ หากโจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย การจำนองย่อมติดไปกับที่ดิน โจทก์มีสิทธิบังคับจำนองที่ดินพิพาทได้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ โจทก์มีเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอแม่จันเบิกความรับรองว่าได้ทำการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทให้โจทก์กับจำเลยเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2528 แต่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินพิพาทฉบับสำนักงานที่ดินและสารบบของที่ดินพิพาทได้สูญหายไปในทะเบียนคุมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของสำนักงานที่ดินอำเภอแม่จันไม่ปรากฏว่ามีการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทในวันดังกล่าว นอกจากนี้ต้นขั้วใบเสร็จรับเงินของสำนักงานที่ดินอำเภอแม่จันก็ไม่ปรากฏว่าในวันดังกล่าวมีการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาท สำหรับสัญญาจำนองที่ดินพิพาทที่โจทก์อ้าง ก็มีเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินอำเภอแม่จันที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำสัญญามาเบิกความเป็นพยาน จำเลยยืนยันว่าลายมือชื่อที่ปรากฏในสัญญามิใช่ลายมือชื่อของตน ส่วนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทฉบับเจ้าของที่ดินที่โจทก์อ้าง ก็เป็นแบบพิมพ์ที่เบิกไปจากสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงรายหลังจากวันที่โจทก์อ้างว่ามีการจดทะเบียนจำนองเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามิได้มีการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่สำนักงานที่ดินอำเภอ ในวันที่โจทก์อ้างการจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นการจำนองที่มิชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิในฐานะผู้รับจำนองได้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจาก โจทก์ฟ้องจำเลยฐานผิดสัญญาและข้อบังคับจำนอง ศาลชั้นต้นได้พิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 9 สิงหาคม 2528 จำเลยผิดสัญญา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก)เลขที่ 4788 ตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย อ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินแปลงพิพาทที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องได้มาจากการขายทอดตลาดของศาล จึงได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและศาลได้สั่งให้เจ้าหน้าที่จดทะเบียนโอนและออกใบแทนให้แก่ผู้ร้องโดยชอบแล้ว การจำนองที่ดินแปลงพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยมิได้มีการจดทะเบียนตามระเบียบและวิธีการของกรมที่ดินจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธินำยึด ขอให้ศาลปล่อยทรัพย์คืนแก่ผู้ร้อง
โจทก์ให้การว่า ที่ดินแปลงพิพาทที่โจทก์นำยึด เป็นของจำเลยซึ่งได้นำไปจำนองเป็นประกันหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์เป็นเงิน 230,000 บาท เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2526 การจดทะเบียนจำนองดังกล่าวทำโดยชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ปล่อยที่ดินพิพาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีว่าผู้ร้องมีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทหรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริต แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 บัญญัติเพียงว่า สิทธิของผู้ซื้อไม่เสียไปแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่ของจำเลยมิได้คุ้มครองถึงกับให้ผู้ซื้อได้สิทธิโดยปลอดจากภาระผูกพันใด ๆ ดังนั้น หากโจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย การจำนองย่อมติดไปกับที่ดิน โจทก์มีสิทธิบังคับจำนองที่ดินพิพาทได้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์ดังกล่าว สำหรับปัญหาว่าโจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ในข้อนี้โจทก์มีนายพุ่ม สิทธิสมบัติเป็นพยานเบิกความรับรองว่าขณะที่ตนเองมีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอแม่จัน ได้ทำการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทให้โจทก์กับจำเลยเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2528 ตามที่ปรากฏในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของที่ดินพิพาทฉบับเจ้าของที่ดินเอกสารหมาย จ.1 และสัญญาจำนองที่ดินฉบับผู้รับจำนอง เอกสารหมาย ร.2 แต่เนื่องจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)ของที่ดินพิพาทฉบับสำนักงานที่ดินและสารบบของที่ดินพิพาทที่เก็บรักษาอยู่ที่สำนักงานที่ดินอำเภอแม่จันได้สูญหายไปพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวจึงยังไม่อาจรับฟังว่า มีการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยชอบแล้ว ส่วนผู้ร้องนำสืบได้ความว่าเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2526 นั้น ในทะเบียนควบคุมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของสำนักงานที่ดินอำเภอแม่จันเอกสารหมาย ร.8 ไม่ปรากฏว่ามีการดำเนินการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาท ระหว่างโจทก์กับจำเลยแต่อย่างใด คงมีแต่การจดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1860นอกจากนี้ต้นขั้วใบเสร็จรับเงินของสำนักงานที่ดินอำเภอแม่จันเอกสารหมาย ร.7 ก็ไม่ปรากฏว่าในวันที่ 8 มีนาคม 2526 นั้นได้มีการออกใบเสร็จรับเงินค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลย คงมีแต่การจดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1860 เช่นเดียวกันสำหรับสัญญาจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลย เอกสารหมาย ร.2ซึ่งปรากฏว่า มีเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินอำเภอแม่จัน คือนางเพ็ญศรี กุลฑลสุระกานต์ กับนางชลทิชา พัวตระกูล ลงชื่อเป็นพยานและมีนางเพ็ญประภา กำบังภัย ลงชื่อเป็นผู้ตรวจสัญญานั้นบุคคลทั้งสามได้มาเบิกความเป็นพยานผู้ร้องยืนยันว่าลายมือชื่อที่ปรากฏในสัญญาดังกล่าวมิใช่ลายมือชื่อของตน ส่วนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของที่ดินพิพาทฉบับเจ้าของที่ดิน เอกสารหมายจ.1 ผู้ร้องมีนายนิจพงษ์ สว่างพงษ์ เจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย มาเบิกความเป็นพยานผู้ร้องว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ฉบับดังกล่าว เป็นแบบพิมพ์ของทางราชการมีเลขที่ประจำแบบพิมพ์ 546422 และมีข้อความระบุว่าออกให้เจ้าของที่ดินเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2524 แต่ตามทะเบียนคุมการรับจ่ายแบบพิมพ์ของสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย เอกสารหมาย ร.6 ปรากฏว่าแบบพิมพ์หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 546401ถึง 546500 นั้น สำนักงานที่ดินอำเภอแม่จันเพิ่งเบิกไปจากสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงรายเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2525 ซึ่งนายนิจพงษ์ให้ความเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้เจ้าของที่ดินก่อนวันเบิกแบบพิมพ์ พยานหลักฐานผู้ร้องจึงสอดคล้องต้องกันและมีน้ำหนักอันควรรับฟังยิ่งกว่าพยานหลักฐานโจทก์น่าเชื่อว่ามิได้มีการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่สำนักงานที่ดินอำเภอแม่จันในวันที่ 8 มีนาคม 2526การจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นการจำนองที่มิชอบด้วยกฎหมายโจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิในฐานะผู้รับจำนองบังคับจำนองเอาแก่ที่ดินพิพาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้ปล่อยที่ดินพิพาท ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน