คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 6 คำว่า “พิพากษา” หมายความตลอดถึงการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดีโดยทำเป็นคำสั่ง และมาตรา 19 ว่า”คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ให้ถือเสมือนว่า เป็นหมายของศาลให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ายึดดวงตราสมุดบัญชีและเอกสารของลูกหนี้และบรรดาทรัพย์สิน ซึ่งอยู่ในความครอบครองของลูกหนี้หรือของผู้อื่นอันอาจแบ่งได้ในคดีล้มละลาย… ฯลฯ” ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหมายเรียกให้จำเลยไปให้การเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินโดยแจ้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลให้จำเลยทราบด้วยและได้ปิดหมายเรียกดังกล่าวที่ภูมิลำเนาของจำเลยถือว่าเป็นการส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยโดยชอบ จำเลยจะขอให้พิจารณาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208ต้องยื่นคำขอต่อศาลภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับนั้นให้แก่จำเลย.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ได้ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายจำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นจึงสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2531
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่โดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกฟ้อง ไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องทั้งนี้เพราะจำเลยที่ 1 ได้ย้ายไปอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 180/1ถนนศาลาแดง ตำบลท่าตะเภา อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ตั้งแต่ปี 2527มิได้อยู่ที่บ้านอันเป็นภูมิลำเนาตามฟ้องจำเลยที่ 2 ก็เช่นเดียวกันได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 71 หมู่ที่ 10 ตำบลลาดยาว เขตบางเขนกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ปี 2529 จำเลยทั้งสองจึงไม่มีโอกาสต่อสู้คดีคดีนี้จำเลยทั้งสองมีทางชนะคดีโจทก์ได้อย่างแน่นอน โดยจำเลยทั้งสองยังประกอบอาชีพทำงานเป็นหลักแหล่ง มีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้โจทก์ได้ไม่เป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวแต่อย่างใด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2531 และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ซึ่งถือได้ว่าเป็นการส่งคำสั่งให้แก่จำเลยทั้งสองแล้ว จำเลยทั้งสองมิได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ภายในกำหนด 15 วัน และพฤติการณ์ที่ปรากฏตามคำร้องก็มิใช่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ อันจะเป็นข้อแก้ตัวในการยื่นคำขอล่าช้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208จึงให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 16 มีนาคม2531 และต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหมายเรียกไปยังจำเลยทั้งสองเพื่อให้ไปให้การเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สิน โดยปิดหมายดังกล่าวเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2531 และวันที่ 21 กรกฎาคม 2531ที่ภูมิลำเนาตามฟ้องของโจทก์ ในหมายเรียกดังกล่าว เป็นการแจ้งระบุชัดว่าจำเลยทั้งสองถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและตามหนังสือเรื่องขอตรวจสอบหลักฐานทะเบียนและคัดสำเนาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปรากฏชัดว่าจำเลยทั้งสองยังคงมีภูมิลำเนาอยู่ตามที่โจทก์ฟ้องได้ความดังกล่าว เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 6 บัญญัติคำว่า “พิพากษา” หมายความถึงการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดีโดยทำเป็นคำสั่งและมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวก็บัญญัติว่า “คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ให้ถือเสมือนว่า เป็นหมายของศาลให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ายึดดวงตราสมุดบัญชีและเอกสารของลูกหนี้ และบรรดาทรัพย์สินซึ่งอยู่ในความครอบครองของลูกหนี้หรือของผู้อื่นอันอาจแบ่งได้ในคดีล้มละลาย…ฯลฯ…”ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหมายเรียกโดยแจ้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลให้จำเลยทั้งสองแล้วโดยการปิดหมายที่ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2531และเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2531 ตามลำดับกรณีถือได้ว่าเป็นการส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยทั้งสองโดยชอบแล้วเมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ก็จะต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2531และวันที่ 5 สิงหาคม 2531 ตามลำดับ ซึ่งเป็นวันที่การส่งหมายแจ้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดให้แก่จำเลยทั้งสองมีผล แต่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2531จึงเกินกำหนด 15 วัน ล่วงพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้วและตามคำร้องขอของจำเลยทั้งสองก็ไม่มีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ประการใด จำเลยทั้งสองย่อมไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยทั้งสองอีกต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยทั้งสองนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share