แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยจองซื้อหุ้นของโจทก์แล้วไม่ชำระค่าหุ้นตามที่โจทก์เรียกให้ส่งโจทก์จึงริบหุ้นของจำเลยและเอาออกขายทอดตลาดแต่ได้เงินน้อยกว่ามูลค่าหุ้นที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ ดังนี้ โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยชำระค่าหุ้นส่วนที่ยังขาดอยู่แก่โจทก์ได้ตามรูปการแห่งหนี้ทั่วไป ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 511,512 ห้ามผู้ทอดตลาดหรือผู้ขายเข้าสู้ราคาหรือใช้ให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาด แม้บริษัท ม. ผู้ซื้อหุ้นของจำเลยได้จากการขายทอดตลาดจะเป็นบริษัทที่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ถือหุ้นในบริษัทโจทก์ด้วยหรือเป็นบริษัทในเครือบริษัทโจทก์ก็ตาม แต่บริษัท ม. ก็เป็นนิติบุคคลต่างหากจากบริษัทโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ใช้ให้บริษัท ม. หรือลูกจ้างโจทก์หรือบุคคลอื่นใดเข้าประมูลสู้ราคาแทนโจทก์การขายทอดตลาดหุ้นดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ดำเนินการขายทอดตลาดตามวิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ในประเด็นข้อนี้ไว้ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ดำเนินการขายทอดตลาดโดยไม่ชอบอย่างไร จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจองซื้อหุ้นในบริษัทโจทก์ไว้จำนวน 1,000หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1,000 บาท และยังคงค้างชำระค่าหุ้นอยู่เต็มจำนวนโจทก์ทวงถามจำเลยให้ชำระค่าหุ้นดังกล่าวหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายกำหนดให้จำเลยชำระค่าหุ้นให้ครบถ้วนภายในวันที่ 22 สิงหาคม 2528มิฉะนั้นโจทก์จะริบหุ้นออกขายทอดตลาด แต่จำเลยไม่ชำระในการขายทอดตลาดผู้ที่เข้าประมูลสู้ราคาหุ้นของจำเลยสูงสุดเพียงหุ้นละ700 บาท จึงขาดจำนวนจากมูลค่าหุ้นที่จดทะเบียนไว้อีกหุ้นละ300 บาท รวม 1,000 หุ้น เป็นเงิน 300,000 บาท โจทก์แจ้งผลการขายทอดตลาดให้จำเลยทราบแล้วพร้อมทั้งบอกกล่าวให้จำเลยชดใช้ส่วนที่ยังขาดอยู่แก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยจึงต้องใช้ค่าดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 300,000 บาทนับแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2528 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 45,312.50 บาทขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 345,312.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 300,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า หุ้นของจำเลยเป็นหุ้นที่ได้ชำระเต็มมูลค่าหุ้นแล้วจึงไม่มีหนี้ค้างชำระต่อโจทก์ เมื่อโจทก์ยึดหุ้นตามฟ้องออกขายทอดตลาด ไม่ว่าจะขายหุ้นได้ราคาเท่าใดก็ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องจากจำเลยได้ การที่โจทก์เอาหุ้นของจำเลยออกขายทอดตลาดให้แก่กลุ่มบุคคลของคณะกรรมการโจทก์ในราคาหุ้นละ 700 บาทแล้วกลับมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยเช่นนี้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์มิได้ฟ้องภายในกำหนดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลย 2 ประการคือ จำเลยไม่ต้องชดใช้เงินค่าหุ้นในส่วนที่ขายทอดตลาดแล้วได้เงินไม่ครบมูลค่าหุ้น เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1124, 1125 ไม่ได้บัญญัติไว้หรือไม่การประมูลสู้ราคาในการขายทอดตลาดหุ้นขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่ สำหรับปัญหาตามฎีกาของจำเลยข้อแรกนั้นเห็นว่า บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1125เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการขายทอดตลาดหุ้นที่ริบแล้วได้เงินมากกว่ามูลค่าหุ้นที่ผู้ถือหุ้นต้องรับผิด กล่าวคือให้เอาหักใช้ค่าหุ้นที่เรียกกับดอกเบี้ยที่ค้างชำระ ถ้ายังมีเงินเท่าใดต้องส่งคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นนั้น มิใช่ตกได้แก่บริษัทเจ้าของหุ้น ส่วนกรณีที่ขายได้เงินน้อยกว่ามูลค่าหุ้นที่ผู้จองซื้อเป็นหนี้ค่าหุ้นบริษัทเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1106 ที่บัญญัติว่า “การเข้าชื่อซื้อหุ้นนั้นย่อมผูกพันผู้เข้าชื่อโดยเงื่อนไขว่าถ้าบริษัทตั้งขึ้นแล้วจะใช้จำนวนเงินค่าหุ้นนั้น ๆ ให้แก่บริษัทตามหนังสือชี้ชวนและข้อบังคับของบริษัท” เมื่อจำเลยจองซื้อหุ้นของบริษัทโจทก์และต้องชำระเงินเต็มมูลค่าแก่บริษัทโจทก์ แต่ไม่ชำระย่อมเป็นหนี้บริษัทโจทก์ ซึ่งมีผลให้บริษัทโจทก์เรียกให้จำเลยชำระได้ตามรูปการแห่งหนี้ทั่วไปนั่นเอง การที่บริษัทโจทก์ขายทอดตลาดหุ้นที่จำเลยจองซื้อได้เงินเท่าใดก็นำมาชำระหนี้ที่จำเลยค้างชำระเงินมูลค่าหุ้นได้ เมื่อยังขาดอยู่เท่าใดจำเลยก็ต้องรับผิดชดใช้ส่วนที่ขาดอยู่แก่โจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ส่วนที่ยังขาดอยู่ได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับปัญหาตามฎีกาของจำเลยข้อต่อมาที่ว่าการประมูลสู้ราคาในการขายทอดตลาดหุ้นขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่โดยจำเลยฎีกาว่า ผู้เข้าประมูลสู้ราคาต่างเป็นคณะบุคคลซึ่งเป็นผู้แทนของโจทก์ และเป็นผู้ที่อยู่ในเครือบริษัทโจทก์กับเป็นผู้ที่เป็นลูกจ้างโจทก์อีกด้วย ซึ่งจำเลยมิได้นำสืบข้อเท็จจริงให้เห็นดังที่กล่าวอ้างจึงรับฟังไม่ได้ ข้อเท็จจริงคงได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่า ผู้เข้าสู้ราคาและซื้อได้จากการขายทอดตลาดเป็นบริษัทที่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ถือหุ้นในบริษัทโจทก์ด้วย หรือเป็นบริษัทในเครือบริษัทโจทก์เท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 511, 512 บัญญัติห้ามผู้ทอดตลาดหรือผู้ขายเข้าสู้ราคาหรือใช้ให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าสู้ราคา ดังนั้น การที่บริษัทไมโครเทคจำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากบริษัทโจทก์เป็นผู้ซื้อได้จากการขายทอดตลาด โดยไม่ปรากฏว่ามีการใช้บุคคลทั้งหลายเข้าประมูลสู้ราคาแทนบริษัทโจทก์ การขายทอดตลาดหุ้นดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์ไม่ดำเนินการขายทอดตลาดตามวิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้นั้น เห็นว่า จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ในประเด็นดังกล่าวนี้และไม่ปรากฏว่านอกจากที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้นแล้ว โจทก์ได้ดำเนินการขายทอดตลาดที่ไม่ชอบอย่างไร จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน