คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 885/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านแต่มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านใช้เงินแทนด้วยเหตุที่โดยสภาพแล้วมิอาจให้จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเป็นผู้เช่าดังเดิมได้นั้น เป็นการสั่งเพิกถอนการโอนแล้ว ขณะที่จำเลยโอนสิทธิการเช่าให้ผู้คัดค้าน สิทธิการเช่าตามสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับผู้ให้เช่ายังไม่ครบกำหนด ยังมีประโยชน์สามารถตีราคาเป็นทรัพย์สินของจำเลย เมื่อผู้คัดค้านรับโอนไปย่อมเป็นการรับโอนทรัพย์สินจากจำเลยและย่อมได้รับประโยชน์ตลอดเวลาแห่งสิทธิการเช่าดังกล่าวซึ่งคำนวณราคาเป็นเงินได้ การเพิกถอนการโอนจึงอาจบังคับได้โดยให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินแทนตามราคาที่คำนวณได้นั้น

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลาย ขณะนี้จำเลยยังไม่พ้นภาวะการล้มละลายเดิมจำเลยเป็นผู้เช่าตึกแถว 2 ชั้น จากมูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัยวัดบวรนิเวศวิหาร จำเลยได้ทำหนังสือโอนสิทธิการเช่าให้แก่ผู้คัดค้านในราคา 1,700,000 บาท โดยผู้คัดค้านรู้ว่าจำเลยเป็นบุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว เป็นการโอนโดยไม่มีค่าตอบแทนและเป็นการกระทำในระหว่างสามปี ก่อนมีการขอให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าดังกล่าวระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้าน และให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม ถ้าไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ให้ผู้คัดค้านชดใช้เงิน 1,700,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จแก่กองทรัพย์สินของจำเลย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า สิทธิการเช่าที่ผู้ร้องขอให้เพิกถอนนั้นเป็นสัญญาเช่าระหว่างมูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัยวัดบวรนิเวศวิหาร กับจำเลยซึ่งสัญญาเช่าดังกล่าวได้หมดอายุลงแล้วตั้งแต่เวลาก่อนที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย และไม่มีการต่อสัญญาเช่ากันอีกต่อไป ผู้ให้เช่าให้ผู้คัดค้านทำสัญญาเช่าหลังจากสัญญาเช่าฉบับเดิมหมดอายุลงแล้ว ผู้คัดค้านได้รับโอนมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนให้จำเลยแล้ว ผู้ร้องมีอำนาจร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนการโอนเท่านั้น ไม่มีอำนาจให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินหรือค่าเสียหายแก่กองทรัพย์สินของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านรับโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนแต่หลังจากครบกำหนดเวลาเช่าที่จำเลยเช่าจากวัดบวรนิเวศวิหารแล้วผู้คัดค้านได้ทำสัญญาเช่าตึกพิพาทกับวัดบวรนิเวศวิหารผู้ให้เช่าโดยตรง จึงไม่อาจเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านให้จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเป็นผู้เช่าดังเดิมได้ แต่การโอนสิทธิการเช่ามีค่าตอบแทนเป็นเงิน 1,700,000 บาทมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินจำนวน 1,700,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่กองทรัพย์สินของจำเลย นับแต่วันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ผู้คัดค้านไม่ต้องรับผิดเรื่องดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เดิมจำเลยเป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากมูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัยมีกำหนดอายุสัญญาเช่า 1 ปี นับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2528 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2529 ดังปรากฏตามหนังสือสัญญาเช่าเอกสารหมาย ค.3 ครั้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์2529 จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทให้แก่ผู้คัดค้าน โดยได้แจ้งขออนุญาตจากผู้ให้เช่า ต่อมาเมื่อวันที่27 กุมภาพันธ์ 2529 ผู้ให้เช่ามีหนังสือแจ้งอนุมัติให้โอนได้การโอนสิทธิการเช่านี้ผู้คัดค้านได้รับโอนมาโดยไม่มีค่าตอบแทนแต่อ้างว่าได้ให้ค่าตอบแทนแก่จำเลยเป็นเงิน 1,700,000 บาท หลังจากสัญญาเช่าตึกพิพาทระหว่างจำเลยกับผู้ให้เช่าหมดอายุ ผู้ให้เช่าได้ทำสัญญาให้ผู้คัดค้านเช่าตึกพิพาทมีอายุการเช่า 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2529 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2530 ดังปรากฏตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย ค.4 ต่อมา เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2529โจทก์จึงได้ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายหลังจากสัญญาเช่าตามเอกสารหมายค.4 หมดอายุ ผู้คัดค้านก็ได้รับการต่ออายุสัญญาเช่าตลอดมา ดังปรากฏตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย ค.5 และ ค.6 วันที่ 13 พฤศจิกายน 2532ขณะอยู่ในอายุสัญญาเช่าระหว่างผู้ให้เช่ากับผู้คัดค้าน ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าเป็นคดีนี้
ปัญหาแรกที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า เมื่อศาลไม่มีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้าน จึงไม่อาจสั่งให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินนั้น เห็นว่า ที่ศาลมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านใช้เงินแทนด้วยเหตุที่โดยสภาพแล้วมิอาจให้จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเป็นผู้เช่าดังเดิมได้นั้น เป็นการสั่งเพิกถอนการโอนแล้วแต่เนื่องจากสภาพที่ไม่อาจบังคับให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ประจักษ์แน่ชัดแล้ว จึงกำหนดสภาพการบังคับเป็นให้ชดใช้เงินแทนตามผลแห่งสภาพความจริงที่ปรากฏเป็นประจักษ์นั้นได้ในรูปคำสั่งเดียวฎีกาผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ผู้คัดค้านฎีกาข้อต่อมาว่า สิทธิการเช่าตึกพิพาทที่ผู้คัดค้านรับโอนจากจำเลยมานั้นได้ครบกำหนดตามเงื่อนเวลาสิ้นสุดไปแล้ว ศาลจึงมิอาจสั่งเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าที่ครบกำหนดไปดังกล่าวแล้วนั้น เห็นว่า การโอนสิทธิการเช่าระหว่างจำเลยและผู้คัดค้านได้กระทำในระหว่างที่สิทธิการเช่าตามสัญญาเช่ายังไม่ครบกำหนดยังมีประโยชน์และสามารถตีราคาได้เป็นทรัพย์สินของจำเลยเมื่อผู้คัดค้านได้รับโอนไปย่อมเป็นการรับโอนทรัพย์สินจากจำเลยและย่อมได้รับประโยชน์ตลอดเวลาแห่งสิทธิการเช่าดังกล่าวซึ่งคำนวณราคาเป็นเงินได้ การเพิกถอนการโอนในส่วนดังกล่าวนี้จึงย่อมอาจบังคับได้โดยให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินแทนตามราคาที่คำนวณได้นั้นข้อเท็จจริงแห่งคดีก็ปรากฏตามที่ผู้คัดค้านนำสืบว่าได้มีการคำนวณกำหนดราคาไว้ และคดีฟังไม่ได้ความว่าผู้คัดค้านได้ชำระราคาดังกล่าวแล้ว การเพิกถอนการโอนโดยให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินแทนตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้นทุกข้อ
พิพากษายืน

Share