คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2833/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและให้รื้อถอนบ้านเรือนของจำเลยซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่โจทก์ซื้อมาและครอบครองอยู่ จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินที่จำเลยปลูกเรือนเป็นของนายเอิบ นางไข่ บัวงาม หรือเป็นที่ดินที่ทางราชการหวงห้ามไว้ให้เป็นที่ว่างเปล่า และโจทก์ไม่ได้ซื้อที่ดินกับรับโอนโดยทุจริต ดังนั้น ตามคำให้การจำเลยไม่อาจมีเรื่องจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินที่จำเลยปลูกเรือนอยู่จากโจทก์ จึงไม่มีการอ้างสิทธ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ได้ ศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นการวินิจฉัยขัดแย้งกับประเด็นที่จำเลยต่อสู้ไว้ในคำให้การ และไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้ ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วยกเรื่องการอ้างสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ซื้อที่ดินปลูกบ้านแล้วครอบครองอย่างเป็นเจ้าของตลอดมา ราว พ.ศ. ๒๕๑๓ จำเลยได้เข้าปลูกเรือนในที่ดินดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาต โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนออกไป จำเลยรับว่าจะออกไปแล้วไม่ยอมรื้อถอนออกไป กลับอ้างว่านายเอิบ บัวงาม ให้จำเลยปลูกอยู่ ขอให้ขับไล่จำเลยและรื้อถอนบ้านเรือนออกไป
จำเลยให้การว่า ที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านเป็นของนายเอิบ นางไข่ บัวงาม เป็นที่ดินส่วนที่เหลือจากขายให้นางสุปราณี สุทัศน์ ณ อยุธยา ซึ่งได้ยื่นคำขอรังวัดเพื่อออกโฉนดไปแล้ว ที่ดินส่วนที่เหลือนี้มีลำห้วยสาธารณะคั่นไว้ จึงได้ชื่อว่าเป็นที่ดินว่างเปล่า เทศบาลหัวหินห้ามไว้ไม่ยอมให้ผู้ใดครอบครอง นายอำเภอหัวหินให้ทำแผนที่ไว้ว่าเป็นที่ดินว่างเปล่า นายฉลวย ธูปหอม เจ้าของที่ดินเดิมไม่มีสิทธิ์ครอบครอง โจทก์ไม่ได้ซื้อที่ดินและรับโอนโดยสุจริต นายเอิบ บัวงาม ให้จำเลยปลูกบ้านอาศัยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๒ ขอให้ยกฟ้อง
วันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่าตามคำฟ้องแสดงว่าโจทก์มาฟ้องเรียกคืนการครอบครองหลังจากจำเลยแย่งการครอบครองมา ๑ ปีแล้ว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ ซึ่งเป็นเรื่องอำนาจฟ้องศาลเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าตามฟ้องและคำให้การคงมีประเด็นว่าที่ดินที่จำเลยปลูกเรือนอยู่เป็นที่ดินของโจทก์หรือไม่ จำเลยไม่ได้โต้เถียงกรรมสิทธิ์ เพียงแต่อ้างว่าเป็นที่ดินของคนอื่น จึงนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ เรื่องแย่งการครอบครองมาใช้บังคับไม่ได้ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกเรือนอยู่ในที่ดินซึ่งโจทก์มีสิทธิ์ครอบครอง โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยรื้อเรือนออกไป จำเลยรับว่าจะรื้อเรือนออกไปภายในเดือนมกราคม ๒๕๑๖ ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมรื้อเรือนออกไปกลับอ้างว่านายเอิบ บัวงาม เจ้าของที่ดินอนุญาตให้จำเลยปลูกเรือนอยู่ ส่วนจำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่ดินที่จำเลยปลูกเรือนเป็นของนายเอิบ นางไข่ บัวงาม หรือเป็นที่ดินของทางราชการหวงห้ามไว้ให้เป็นที่ว่างเปล่า และโจทก์ไม่ได้ซื้อกับรับโอนการครอบครองที่ดินมาโดยสุจริต ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำให้การของจำเลยไม่อาจมีเรื่องจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินที่จำเลยปลูกเรือนอยู่จากโจทก์ จึงไม่มีทางที่จะอ้างสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ ได้ ศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นการวินิจฉัยขัดแย้งกับประเด็นที่จำเลยต่อสู้ไว้ในคำให้การ และไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้
พิพากษายืน.

Share