คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 786/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 48 แก้ไขโดยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่116 ข้อ 4 วันที่ 10 เมษายน 2515 ผู้ได้รับอนุญาตแปรรูปไม้โดยใช้แรงงาน ทำผิดใบอนุญาตโดยใช้เลื่อยวงเดือนและเครื่องไสกบไฟฟ้าอันเป็นเครื่องจักรกล เป็นความผิดมีโทษตาม มาตรา32
จำเลยที่ 2 มีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาตเป็นความผิดตาม มาตรา 48,72 จำเลยที่ 1 ผู้ได้รับอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้แรงงาน มีไม้นั้นไว้ในโรงงานมีความผิดตาม มาตรา 51, 72 ทวิ ไม่ใช่ มาตรา48 โจทก์อ้าง มาตรา 48,72 ศาลลงโทษตามบทมาตราที่ถูกต้องได้
จำเลยที่ 4, ที่ 6 แปรรูปไม้โดยไม่มีคู่มือแสดงฐานะคนงานรับจ้างจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับแปรรูปไม้ตามที่ได้รับอนุญาต. จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ 4, ที่ 6 มีความผิดฐานทำการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 1,2 เป็นผู้ว่าจ้างใช้ให้จำเลยที่ 4, ที่ 6 กระทำผิดแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า (ก) จำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้แรงคน บังอาจปฏิบัติฝ่าฝืนข้อกำหนดในการอนุญาต โดยใช้เครื่องจักรกลทำการแปรรูปไม้ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ (ข) จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันมีไม้สักแปรรูปไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต (ค) จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นกระทำผิดด้วยการจ้างให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 แปรรูปไม้สักดังกล่าว และจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ได้ร่วมกันแปรรูปไม้สักตามที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 จ้างโดยจำเลยทุกคนมิได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48, 73, 74 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 17, 18 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 116 ข้อ 4 ลงวันที่ 10 เมษายน 2515 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84 และริบของกลาง

จำเลยทั้ง 6 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2มีความผิดฐานร่วมกันตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรกลโดยมิได้รับอนุญาตกระทงหนึ่งร่วมกันมีไม้สักแปรรูปไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต กระทงหนึ่ง ร่วมกันใช้ให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 แปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต กระทงหนึ่ง และจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 แปรรูปไม้โดยมิได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48, 73, 74 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 17, 18 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 116 ข้อ 4 ลงวันที่ 10 เมษายน 2515 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ทุกกระทง ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 2 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทงละ 6 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 คนละ 6 เดือน ริบของกลาง

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 6 ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงงานแปรรูปไม้เพื่อประดิษฐกรรมโดยใช้แรงงานคน มีคนงานหรือผู้รับจ้าง 4 คน โรงงานแห่งนี้ใช้เครื่องเลื่อยวงเดือน 3 เครื่อง และเครื่องไสกบไฟฟ้า 1 เครื่อง จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 เป็นคนงานทำการแปรรูปไม้ เจ้าพนักงานตรวจยึดไม้สักแปรรูปได้ 3.59 ลูกบาศก์เมตร ท้องที่เกิดเหตุอยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับอนุญาตให้แปรรูปไม้โดยใช้แรงคน แต่ฝ่าฝืนข้อกำหนดในใบอนุญาตโดยการใช้เครื่องจักรกล เป็นความผิดตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้หรือไม่ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 116 ข้อ 4 ซึ่งให้ยกเลิกความในมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ให้ใช้ความใหม่ว่า “มาตรา 48 ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ ห้ามมิให้ผู้ใดแปรรูปไม้ ตั้งโรงงานแปรรูปไม้ ฯลฯ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดในกฎกระทรวงและในการอนุญาต” เห็นว่าตามบทบัญญัติใหม่นี้ ผู้ขอตั้งโรงงานแปรรูปไม้ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ แม้จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว ยังต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดในกฎกระทรวงและในการอนุญาต หากทำการฝ่าฝืน ย่อมเป็นความผิดและมีโทษตามมาตรา 73 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 การตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้แรงคน แตกต่างกับการตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรกลผู้ขอรับอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรกลต้องมีคุณสมบัติพิเศษที่บัญญัติไว้ในมาตรา 49 เครื่องเลื่อยวงเดือนและเครื่องไสกบไฟฟ้าเป็นเครื่องจักรกลอย่างหนึ่ง ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้แรงคนแล้วฝ่าฝืนข้อกำหนดในใบอนุญาต กลับใช้เครื่องจักรกลแปรรูปไม้เช่นนี้ ย่อมเป็นความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้ตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ตามที่แก้ไขใหม่นี้ ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันตั้งโรงงานแปรรูปไม้ด้วยนั้น เห็นว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานนี้ด้วย จึงลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันตั้งโรงงานแปรรูปไม้ไม่ได้

ปัญหาต่อไป จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีไม้สักแปรรูปไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่หรือไม่ คดีฟังได้มั่นคงว่าจำเลยที่ 2 มีไม้สักแปรรูปไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามมาตรา 48 ประกอบด้วยมาตรา 73 ส่วนจำเลยที่ 1 ผู้ได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้แรงคนและมีไม้ดังกล่าวไว้ในโรงงานย่อมเป็นความผิดตามมาตรา 51 ประกอบด้วยมาตรา 72 ทวิ หามีความผิดตามมาตรา 48 อีกไม่ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1483/2503 ข้อนี้แม้โจทก์จะอ้างบทมาตราผิด ศาลฎีกาก็มีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 ตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ 4 และที่ 6 กำลังแปรรูปไม้โดยไม่มีใบคู่มือแสดงฐานะเป็นคนงานหรือผู้รับจ้าง ซึ่งเป็นใบอนุญาตที่ออกให้โดยเจ้าพนักงานป่าไม้ ย่อมรู้ดีว่าทำการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 4 ที่ 6 จึงมีความผิดฐานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้รับอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้ย่อมต้องรับผิดชอบในการดำเนินกิจการเกี่ยวกับการแปรรูปไม้ตามที่ตนได้รับอนุญาต ตามมาตรา 49 ทวิ การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการ จึงฟังได้ว่าเป็นผู้ว่าจ้าง มีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 4 ที่ 6 แปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 10, 15, 17, 18 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 116 ข้อ 4 ลงวันที่ 10 เมษายน 2515 ฐานได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้แรงคนแต่ฝ่าฝืนข้อกำหนดในการอนุญาตโดยใช้เครื่องจักรกลตามมาตรา 48, 73 กระทงหนึ่ง มีไม้สักแปรรูปไว้ในโรงงานโดยมิได้รับอนุญาตตามมาตรา 51, 72 ทวิ, 74 อีกกระทงหนึ่ง และว่าจ้างให้จำเลยที่ 4 ที่ 6 ทำการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 48, 73 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 อีกกระทงหนึ่ง จำเลยที่ 2 ผิดฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 48, 73 และว่าจ้างให้จำเลยที่ 4 ที่ 6 แปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 48, 73 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 รวม 2 กระทง ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 2 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 6 เดือน รวม 3 กระทง จำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2 กระทงละ 6 เดือน รวมเป็นจำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share