แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การปลูกสร้างโรงเรือนลงบนที่ดินเช่าซึ่งทำขึ้นภายหลังสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นถือว่าเป็นการละเมิดขึ้นใหม่ จึงยกสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกันไว้ก่อนมาบังคับไม่ได้
ย่อยาว
คดีนี้ เนื่องจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อศาล สัญญาข้อ 3 มีข้อความว่า ที่ดินที่จำเลยเช่าสำหรับปลูกบ้านเป็นที่อยู่อาศัยเวลานี้ ส่วนลึกวัดจากฝาผนังตึกด้านหลังสุดตัวตึกที่จำเลยเช่าไปทางทิศตะวันออก 10 เมตร แต่ด้านกว้างตามแนวตึก จำเลยได้ปลูกสร้างโรงเรือนเกินไปจากเขตตึกที่จำเลยเช่านั้น จำเลยยอมทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างสิ่งที่เกินนั้นออกและทำการกั้นแนวเขตเช่าของจำเลยไว้ หากการรื้อถอนดังกล่าวจะต้องขออนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็ให้เป็นหน้าที่ของจำเลยจัดการและทำการรื้อถอนกั้นเขตให้เสร็จภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันทำสัญญายอม และสัญญาข้อ 4 ว่า ถ้าจำเลยผิดสัญญายอมนี้ข้อหนึ่งข้อใด จำเลยยอมสละสิทธิในการเช่าและยอมออกจากสถานที่เช่าของโจทก์ทันที
ต่อมา โจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยยังไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญายอมความ โดยขัดขืนอยู่ในที่พิพาท ขอให้ออกหมายจับและบังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยแถลงว่า ได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยทำผิดสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 3โดยจำเลยปลูกโรงเรือนและครัวเกิน 10 เมตรไป 70 ถึง 80 เซ็นติเมตรจึงมีคำสั่งให้จำเลยออกจากสถานที่เช่า ถ้าไม่ออกอาจถูกจับกักขัง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องของโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ โดยวินิจฉัยว่า จำเลยได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่เกินไปแล้วตามสัญญาประนีประนอมยอมความแต่จำเลยกลับปลูกสร้างโรงเรือนและครัวในที่ดินให้เช่าเกินจากที่ตกลงเช่ากันไว้ไป 70-80 เซ็นติเมตร ภายหลังที่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จะยกสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกันไว้ก่อนมาบังคับถึงการละเมิดของจำเลยที่กระทำขึ้นภายหลังไม่ได้