คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2832/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยทั้งสองเข้าไปไถดินทำนาในทางสาธารณประโยชน์ในตอนแรกด้วยเชื่อโดยสุจริตว่ามีสิทธิที่จะเข้าไปทำได้ก็ตาม แต่เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบแล้วว่า ศาลปกครองนครราชสีมาได้มีคำพิพากษาว่าที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นทางสาธารณประโยชน์และให้ออกจากที่ดินพิพาทดังกล่าว จำเลยทั้งสองก็ไม่ได้โต้แย้ง กลับเข้าไปครอบครองและไถดินทำนาบนที่ดินพิพาทสาธารณประโยชน์ภายหลังอีก จึงเป็นความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสอง ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินที่ครอบครอง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 1 ปี ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 8 เดือน จำเลยทั้งสองกระทำความผิดโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของบุคคลอื่น จึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษและให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินที่เป็นทางสาธารณประโยชน์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 9147 ตำบลเสียว อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ต่อมาศาลปกครองนครราชสีมาไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดคลาดเคลื่อนไปทับทางสาธารณประโยชน์ทางด้านทิศตะวันออกและพิพากษาให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินได้แก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดและแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบและให้ออกไปจากทางสาธารณประโยชน์
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ประการเดียวว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เดิมนางน้อยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1290 ตำบลเสียว อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกจดทางสาธารณประโยชน์ตามรูปที่ดินและเขตที่ดินในสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ต่อมาได้ออกเป็นโฉนดที่ดิน เลขที่ 9147 ตำบลเสียว อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2534 แต่ในรูปแผนที่พิพาทดังกล่าวด้านทิศตะวันออกไม่ได้ระบุเป็นทางสาธารณประโยชน์ เมื่อจำเลยทั้งสองได้รับโอนที่ดินดังกล่าวมาจากนางน้อยแล้วได้ไถที่ดินทำนาบนที่พิพาททางสาธารณประโยชน์ เป็นเหตุให้นางเจียมกับพวกไม่สามารถใช้ทางสาธารณประโยชน์ผ่านเข้าออกไป จึงได้ร้องเรียนต่อเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง เจ้าพนักงานที่ดิน และนำคดีขึ้นสู่ศาลปกครองนครราชสีมา ศาลปกครองนครราชสีมาไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดคลาดเคลื่อนไปทับทางสาธารณประโยชน์และพิพากษาให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการแก้ไขรูปแผนที่ให้ถูกต้อง แม้จำเลยทั้งสองเข้าไปไถดินทำนาในทางสาธารณประโยชน์ในตอนแรกก็ด้วยเชื่อโดยสุจริตว่ามีสิทธิที่จะเข้าไปทำได้ก็ตาม แต่เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบแล้วว่าศาลปกครองนครราชสีมาได้มีคำพิพากษาว่าที่พิพาทดังกล่าวเป็นทางสาธารณประโยชน์และให้ออกจากที่ดินพิพาทดังกล่าว จำเลยทั้งสองก็ไม่ได้โต้แย้งกลับมาครอบครองและไถดินทำนาบนที่พิพาททางสาธารณประโยชน์ภายหลังอีก จึงเป็นความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 1 ปี และปรับคนละ 3,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 8 เดือน และปรับคนละ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้คนละ 2 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินที่เป็นทางสาธารณประโยชน์

Share