คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2832/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาประกันภัยค้ำจุนมีเงื่อนไขกำหนดให้ผู้รับประกันภัยร่วมรับผิดกับผู้เอาประกันภัยก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยได้นำหลักฐานมาแสดงแก่ผู้รับประกันภัยว่าขณะเกิดเหตุคนขับรถยนต์ได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เงื่อนไขดังกล่าวตามสัญญามิได้ระบุชัดแจ้งว่า ให้ผู้รับประกันภัยหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาดังนั้นหากผู้เอาประกันภัยจะปฏิบัติผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยอย่างไร หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ผู้รับประกันภัยจะว่ากล่าวเอาแก่ผู้เอาประกันภัยผู้เป็นคู่สัญญา แต่จะยกเหตุแห่งการผิดเงื่อนไขดังกล่าวมาอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมีสิทธิได้รับประโยชน์ตามสัญญาระหว่างผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัยหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองกำแพงคอนกรีตเสาตอม่อและราวเหล็กที่กิโลเมตร 19 + 285 บนทางหลวงหมายเลข 31 วิภาวดีรังสิตซึ่งเป็นทรัพย์สินของทางราชการ จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2ให้เป็นผู้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน สห.03947 ของจำเลยที่ 2 เพื่อธุรกิจของจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้ขับขี่รถยนต์ของจำเลยที่ 2จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าไปทางดอนเมืองบนถนนหลวงหมายเลข 31 มาถึงที่เกิดเหตุด้วยความประมาทเป็นเหตุให้รถยนต์เสียหลักพุ่งเข้าชนกำแพงคอนกรีต ราวแป๊ปเหล็กและเสาตอม่อสพานของโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนเงิน6,700 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันชดใช้เงินจำนวน 6,700 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 3 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า ตามข้อสัญญาประกันภัย จำเลยที่ 2มีหน้าที่นำหลักฐานมาแสดงต่อจำเลยเพื่อพิสูจน์ว่าคนขับรถยนต์ในขณะเกิดเหตุได้รับอนุญาตขับรถยนต์ถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยที่ 3 จึงจะรับผิดตามสัญญาประกันภัย แต่จำเลยที่ 2 ไม่เคยนำหลักฐานดังกล่าวมาแสดง กลับกล่าวอ้างและนำหลักฐานแสดงว่าบุคคลผู้มีชื่ออื่นเป็นผู้ขับขี่ และมีใบอนุญาตขับรถยนต์ถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1มิได้ประมาทแต่เกิดจากเหตุสุดวิสัย ค่าเสียหายไม่เกิน 2,000 บาท

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทชนทรัพย์สินของโจทก์เสียหายเป็นเงิน 6,700 บาท จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยทั้งสองด้วย จะยกเอาเงื่อนไขในสัญญาประกันภัยมาต่อสู้บุคคลภายนอกเพื่อยกเว้นความรับผิดหาได้ไม่พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงิน 6,7000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จและร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 400 บาท

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์200 บาท

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาว่าจำเลยที่ 3 จะยกเอาเงื่อนไขตามสัญญาประกันภัยที่กำหนดให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 2 ได้นำหลักฐานมาแสดงแก่จำเลยที่ 3 ว่าขณะเกิดเหตุคนขับรถยนต์ได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์ถูกต้องตามกฎหมายมาต่อสู้กับโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้หรือไม่ เห็นว่าเงื่อนไขที่จำเลยที่ 3 ยกขึ้นต่อสู้นั้น ตามสัญญามิได้ระบุชัดแจ้งว่าให้จำเลยที่ 3หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญา ดังนั้นหากจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยจะปฏิบัติผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยอย่างไรหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 3ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยจะว่ากล่าวเอาแก่จำเลยที่ 2 ผู้เป็นคู่สัญญาแต่จะยกเหตุแห่งความผิดเงื่อนไขดังกล่าวมาอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมีสิทธิได้รับประโยชน์ตามสัญญาระหว่างจำเลยที่ 2และที่ 3 หาได้ไม่ จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดตามสัญญา

พิพากษายืน โจทก์มิได้แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความให้

Share