แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายเวลากลางคืนแล้วขึ้นคร่อมตัวผู้เสียหายขณะนอนหลับอยู่ในห้อง เมื่อผู้เสียหายตื่น จำเลยใช้มีดปลายแหลมที่ติดตัวมาจ่อราวนมซ้ายผู้เสียหายห้ามมิให้ร้อง มิฉะนั้นจะฆ่าให้ตาย และขณะเดียวกันจำเลยได้ใช้มือลูบไล้ที่ขาผู้เสียหาย ผู้เสียหายขัดขืนร้องขอความช่วยเหลือ จำเลยจึงใช้มีดแทงผู้เสียหายที่หน้าอกซ้าย 2 แผลที่สะบักขวาด้านหลัง 3 แผล คางซ้าย 1 แผล ขาขวา 3 แผล และที่หัวเข่าซ้าย 2 แผล รวม 11 แผล ด้วยมีดขนาดกว้าง 1 นิ้ว ยาวประมาณ 4 นิ้วเศษ ซึ่งมีขนาดโตพอสมควรที่จะทำอันตรายถึงแก่ชีวิตได้โดยเฉพาะแทงในที่สำคัญเช่นบริเวณหน้าอกซ้าย และสะบักหลัง การที่จำเลยแทงไม่ลึกน่าจะเกิดจากผู้เสียหายดิ้นรนและต่อสู้ จึงทำให้แทงผู้เสียหายไม่ถนัด หาใช่จำเลยมีเพียงเจตนาทำร้ายไม่ พฤติการณ์เช่นนี้ส่อแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายแล้ว แต่จำเลยแทงผู้เสียหายเพราะเหตุผู้เสียหายไม่ยอมให้จำเลยข่มขืนกระทำชำเราทั้งยังร้องเรียกให้คนช่วยอีกด้วย ทำให้จำเลยเกิดโทสะที่ไม่สามารถกระทำการได้ดังใจ มิใช่แทงทำร้ายเพื่อปกปิดการกระทำผิด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(7),80 คงผิดตามมาตรา 288,80.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365,278, 288, 289, 80, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 3 และให้ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 364, 365, 278, 288, 80, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 3 กรณีจำเลยมีอาวุธมีดติดตัวบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นในเวลากลางคืนแล้วกระทำอนาจารเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 4 ปี ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นจำคุก 10 ปี รวมจำคุก 14 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งคงจำคุก 7 ปี ริบปลอกมีดของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (7), 80 ให้จำคุกตลอดชีวิต ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 53 คงให้จำคุก 25 ปี เมื่อรวมโทษฐานกระทำอนาจารที่ศาลชั้นต้นลงโทษอีก 2 ปี เป็นโทษจำคุก 27 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาตามที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 (7), 80 หรือไม่ หรือไมีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยได้บุกรุกเข้าไปในบ้านนางวิลเลี่ยมหรืออนงค์ เทพสาธร ผู้เสียหายเวลากลางคืน แล้วขึ้นคร่อมตัวผู้เสียหายขณะนอนหลับอยู่ในห้อง เมื่อผู้เสียหายตื่น จำเลยก็ใช้มีดปลายแหลมที่นำติดตัวมาจ่อราวนมซ้ายผู้เสียหายห้ามมิให้ร้อง มิฉะนั้นจะฆ่าให้ตาย และขณะเดียวกันจำเลยได้ใช้มือลูบไล้ไปที่ขาผู้เสียหายผู้เสียหายขัดขืนร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน จำเลยจึงใช้มีดแทงผู้เสียหายรวม 11 แผล คือบาดแผลที่หน้าอกซ้าย2 แผล ที่สะบักขวาด้านหลัง 3 แผล คางซ้าย 1 แผล ขาขวา 3 แผลและที่หัวเข่าซ้าย 2 แผล โจทก์นำนายแพทย์อนันตพร ศุภวโรดมนายแพทย์โรงพยาบาลแพร่ซึ่งเป็นผู้ตรวจและรักษาบาดแผลผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า บาดแผลที่หน้าอกด้านซ้าย 2 แผล และที่สะบักหลังด้านขวา 2 แผล ไม่ต้องผ่าตัดเพราะเป็นบาดแผลตื้นไม่ลึก ซึ่งปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องว่าลึก 2 เซนติเมตร เฉพาะบาดแผลที่หน้าอกด้านซ้ายนั้นพยานเบิกความว่าหากได้รับอันตรายจากของมีคมและแหลมลึกลงไปแล้วจะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้เพราะจะลึกตรงเข้าไปถูกหัวใจและปอด ปรากฏว่าผู้เสียหายต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล 7 วันจึงกลับบ้านได้ ส่วนปลอกมีดของกลางมีความยาว 5 นิ้วครึ่งจำเลยรับว่าตัวมีดกว้าง 1 นิ้ว ยาวประมาณ 4 นิ้วเศษ เป็นมีด2 คม ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.4 จึงเป็นมีดที่สามารถแทงผู้เสียหายให้ทะลุถึงหัวใจและปอดได้ เห็นว่าจำเลยแทงผู้เสียหายถึง 11 แผล ด้วยมีดที่มีขนาดโตพอสมควรที่จะทำอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ โดยเฉพาะแทงในที่สำคัญเช่นบริเวณหน้าอกซ้าย 2 แผล และสะบักหลังด้านขวาถึง 3 แผล พฤติการณ์เช่นนี้ส่อแสดงว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย การที่แทงไม่ลึกน่าจะเกิดจากผู้เสียหายดิ้นรนและต่อสู้ตามที่ผู้เสียหายเบิกความว่า ใช้เท้าถีบและใช้มือตีจำเลย จึงทำให้แทงผู้เสียหายไม่ถนัดและไม่ลึกจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หาใช่จำเลยมีเจตนาเพียงทำร้ายดังฎีกาจำเลยไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยแทงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า ข้อที่ต้องวินิจฉัยต่อไปก็คือ จำเลยเจตนาฆ่าผู้เสียหายเพื่อปกปิดการกระทำผิดฐานบุกรุกและอนาจารของจำเลยดังฟ้องหรือไม่ ปัญหาข้อนี้เห็นว่าจำเลยแทงผู้เสียหายเพราะเหตุผู้เสียหายไม่ยอมให้จำเลยข่มขืนกระทำชำเราทั้งยังร้องเรียกให้คนช่วยอีกด้วย ทำให้จำเลยเกิดโทสะที่ไม่สามารถกระทำการได้ดังใจจำเลยมากกว่ามิใช่แทงทำร้ายเพื่อปกปิดการกระทำผิดของจำเลยแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 (7), 80 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.