คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 137/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินไปจากโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันและผู้จำนอง แม้จำเลยที่ 1 จะให้การและนำสืบหักล้างเพียงว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง แต่จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์จึงมีภาระนำสืบพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็น หนี้โจทก์ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันและผู้จำนอง จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ และเป็นกรณีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษายกฟ้องให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) ประกอบด้วยมาตรา 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์เป็นเงิน 350,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือน หากเดือนใดค้างชำระยอมให้นำดอกเบี้ยที่ค้างทบเข้ากับต้นเงินได้ ตกลงจะชำระเงินคืนให้โจทก์ทราบภายใน12 เดือน นับแต่วันทำสัญญา และจำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว ทั้งนี้โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมและจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้เป็นประกัน เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญา จำเลยที่ 1 มิได้นำเงินมาชำระให้โจทก์ โจทก์จึงมีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองยังเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 465,025.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้บังคับจำนองโดยนำทรัพย์จำนองตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์หากได้เงินไม่พอให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์ แต่จำเลยที่ 2 และนางอรวรรณ สิทธิราษฎร์ซึ่งเป็นหุ้นส่วนทำธุรกิจร่วมกันเป็นผู้กู้ยืมและรับเงินไปจากโจทก์ซึ่งโจทก์ก็ทราบดี โจทก์ชอบที่จะบังคับเอากับจำเลยที่ 2 และนำทรัพย์จำนองตามฟ้องออกขายทอดตลาดชำระหนี้ โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ระหว่างวันที่ 5 มีนาคม 2527ถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2528 เนื่องจากโจทก์สัญญาว่าจะคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยโจทก์ตามฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 414,307.51 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2528ถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2528 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2528 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 มีนาคม 2529 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้บังคับจำนองโดยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 40586, 40587 ตำบลช้างเผือกอำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2ว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ และจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันและผู้จำนองต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์เท่าใด เห็นว่าแม้จำเลยที่ 1 จะให้การและนำสืบหักล้างเพียงว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง แต่จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การโจทก์จึงมีภาระนำสืบพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง โจทก์มีนางเพ็ญนี สุรพลชัยผู้รับมอบอำนาจโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารโจทก์สาขาสันป่าข่อยจังหวัดเชียงใหม่ เบิกความประกอบการ์ดบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.13 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 465,025.10 บาท แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงรายละเอียดของการเบิกเงินและนำเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.13 แผ่นที่ 22 ปรากฏว่า มีการนำเงินฝากเข้าบัญชีจำเลยที่ 1 ในวันที่ 28 มิถุนายน 2528เมื่อโจทก์หักยอดหนี้ในบัญชีแล้ว มีเงินเหลืออยู่จำนวน 1 สตางค์จำเลยที่ 1 จึงมิได้เป็นหนี้โจทก์ก่อนฟ้องแต่อย่างใด ที่โจทก์อ้างว่าการ์ดบัญชีกระแสรายวันตามเอกสารหมาย จ.13 โจทก์อ้างส่งเป็นพยานศาลเพื่อแสดงให้เห็นวิธีการคิดและคำนวณดอกเบี้ยเท่านั้นเห็นว่า การอ้างส่งเอกสารดังกล่าวเป็นการอ้างส่งเพื่อจะนำสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยทั้งหมดเท่าใด ซึ่งจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันและผู้จำนองต้องรับผิดร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ด้วย ดังนี้ ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าโจทก์อ้างส่งเอกสารดังกล่าวเพื่อแสดงให้เห็นถึงการคิดและคำนวณเฉพาะดอกเบี้ยเท่านั้น จึงฟังไม่ขึ้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันและผู้จำนองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น และเป็นกรณีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้ไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1ที่มิได้ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) ประกอบด้วยมาตรา 247”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share