คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 103/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เจ้าหนี้รับเช็คทั้งหกฉบับซึ่งลูกหนี้เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมาจาก บ. โดย บ. เป็นผู้นำมาขายลดแก่เจ้าหนี้โดยตรงมิใช่เป็นตัวแทนของลูกหนี้ นิติสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้กับ บ.จึงเป็นสัญญาขายลดเช็คซึ่งกฎหมายมิได้กำหนดให้จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ส่วนลูกหนี้จะต้องผูกพันรับผิดต่อเจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904ในฐานะผู้สั่งจ่ายมิใช่คู่สัญญาขายลดเช็ค ดังนั้น เมื่อวันที่เช็คทั้งหกฉบับถึงกำหนดใช้เงิน ถึงวันที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ล่วงเลยระยะเวลา 1 ปีแล้วสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ต่อลูกหนี้จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 ไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ จึงเป็นหนี้ที่ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94(1)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องลูกหนี้ (จำเลย) ขอให้ล้มละลายศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่19 กันยายน 2527 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2528ต่อมานายนิกร ตั้งพร้อมจิตต์ โดยนายประเสริฐ สินธพผู้รับมอบอำนาจ เจ้าหนี้ ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้เป็นเงินจำนวน 641,046 บาท
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตรวจคำขอรับชำระหนี้แล้วทำความเห็นเสนอศาลชั้นต้นว่าควรยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย จึงมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
เจ้าหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของเจ้าหนี้ในชั้นนี้มีว่า เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้หรือไม่ ที่เจ้าหนี้ฎีกาว่า หนี้ตามเช็คทั้งหกฉบับที่เจ้าหนี้นำมาขอรับชำระหนี้เป็นหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค นายบุญมีเพชรธำรงค์ชัย เป็นเพียงตัวแทนของลูกหนี้นำเช็คทั้งหกฉบับมาขายลดให้เจ้าหนี้นั้น ปรากฏตามคำให้การของเจ้าหนี้ ชั้นสอบสวนประกอบคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า เจ้าหนี้ได้รับเช็คทั้งหกฉบับจากนายบุญมีซึ่งนำมาขายสด โดยได้รับประโยชน์ในอัตราร้อยละ 1.25 บาทต่อเดือน แต่ไม่เคยได้รับเช็คจากลูกหนี้โดยตรง สำหรับเช็คทั้งหกฉบับนั้นบางฉบับนายบุญมีได้ลงลายมือชื่อสลักหลัง บางฉบับมิได้สลักหลัง เจ้าหนี้กล้ารับเช็คเอาไว้เพราะเชื่อใจนายบุญมีซึ่งมีฐานะดี ประกอบธุรกิจโรงสีข้าว ดังนี้จึงแสดงให้เห็นว่า เจ้าหนี้เชื่อในฐานะและความสามารถของนายบุญมีว่าจะชำระเงินคืนได้ จึงซื้อลดเช็คทั้งหกฉบับไว้ ประกอบกับตามคำให้การของเจ้าหนี้ไม่ปรากฏว่านายบุญมีเป็นตัวแทนของลูกหนี้นำเช็คทั้งหกฉบับมาขายลดตามที่เจ้าหนี้กล่าวอ้าง และเจ้าหนี้มิได้อ้างหรือนำนายบุญมีมาให้การสอบสวนต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อยืนยันว่าการทำสัญญาขายลดเช็คดังกล่าวนายบุญมีเป็นตัวแทนของลูกหนี้ทั้งที่ในกรณีเช่นนี้เจ้าหนี้ผู้กล่าวอ้างมีภาระต้องนำหลักฐานต่าง ๆ มาสืบแสดงตามข้อกล่าวอ้างของตน นอกจากนี้เมื่อเช็คทั้งหกฉบับเรียกเก็บเงินไม่ได้ เจ้าหนี้ได้ฟ้องลูกหนี้ฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค โดยบรรยายฟ้องระบุว่า เจ้าหนี้ได้รับโอนเช็คทั้งหกฉบับมาจากผู้มีชื่อเพื่อแลกเงินสดอีกต่อหนึ่ง รายละเอียดปรากฏตามสำเนาคำฟ้องเอกสารหมาย จ.12ถึง จ.15 และเจ้าหนี้ก็ได้ให้การในชั้นสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ว่าได้เบิกความในคดีดังกล่าวว่า มูลหนี้ตามเช็คทั้งหกฉบับมาจากการแลกเงินสด ซึ่งการที่เจ้าหนี้ได้ยื่นคำฟ้องและเบิกความต่อศาลนั้นต้องกระทำไปตามความจริง มิฉะนั้นอาจมีความผิดฟ้องเท็จและเบิกความเท็จได้ คำฟ้องและคำเบิกความของเจ้าหนี้ดังกล่าวจึงเจือสมกับคำให้การของเจ้าหนี้ในคดีนี้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า เจ้าหนี้รับเช็คทั้งหกฉบับซึ่งลูกหนี้เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมาจากนายบุญมีโดยนายบุญมีเป็นผู้นำมาขายลดแก่เจ้าหนี้โดยตรง มิใช่เป็นตัวแทนของลูกหนี้ดังที่เจ้าหนี้ฎีกา นิติสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้กับนายบุญมีจึงเป็นสัญญาขายลดเช็ค ซึ่งกฎหมายมิได้กำหนดให้จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ส่วนลูกหนี้จะต้องผูกพันรับผิดต่อเจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 ในฐานะผู้สั่งจ่ายทั้งหกฉบับมิใช่คู่สัญญาขายลดเช็ค ดังนั้น เมื่อวันที่เช็คทั้งหกฉบับถึงกำหนดใช้เงิน คือวันที่ 20 ธันวาคม 2526, 5 มกราคม 2527, 5 มกราคม 2527,6 มกราคม 2527, และ 7 มกราคม 2527 ตามลำดับ ถึงวันที่ 10 มกราคม2528 ซึ่งเป็นวันที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ปรากฏว่าล่วงเลยระยะเวลา 1 ปีแล้ว สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ต่อลูกหนี้จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1002 ไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ จึงเป็นหนี้ที่ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายได้ ตามมาตรา 94(1) แห่งพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาจึงชอบแล้วฎีกาของเจ้าหนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share