คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2824/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมแล้วมีใจความว่าจำเลยและหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดล. เป็นหนี้ค่าอาหารสัตว์กับบริษัทจ. โจทก์ขอรับผิดชดใช้หนี้ร่วมกับจำเลยครึ่งหนึ่งทั้งนี้ไม่เกินวงเงิน1,550,000บาทหากบริษัทบังคับให้จำเลยชำระหนี้แล้วโจทก์ไม่ยอมรับผิดในหนี้ดังกล่าวก็ยอมให้จำเลยบังคับคดีได้ทันทีโดยไม่ได้ระบุถึงหนี้ค่าอาหารสัตว์ของบริษัทก. จำกัดก็ตามแต่เมื่อบริษัทก.เป็นบริษัทในเครือของบริษัทจ. ค้าขายสินค้าประเภทเดียวกันมีที่อยู่ที่เดียวกับบริษัทจ. มีกรรมการบริหารชุดเดียวกันและตามใบกำกับสินค้าแต่ละฉบับก็เป็นแบบพิมพ์เหมือนกันซึ่งมีทั้งออกในนามทั้งสองบริษัทแต่มีระบุว่าให้สั่งจ่ายเงินค่าสินค้าในนามบริษัทก. เท่านั้นหนี้สินตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ระบุว่าเป็นหนี้บริษัทจ. ก็คือหนี้รายเดียวกันกับที่จำเลยชำระให้บริษัทก. นั่นเองเมื่อจำเลยชำระหนี้แก่บริษัทก. แล้วโจทก์ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยครึ่งหนึ่งตามข้อประนีประนอมยอมความเมื่อจำเลยได้ทวงถามโจทก์แล้วโจทก์เพิกเฉยโจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดนัดผิดข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยชอบจะใช้สิทธิบังคับคดีแก่โจทก์ได้

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 17140 และสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวและเรียกค่าเสียหายเดือนละ 50,000 บาท จำเลยให้การว่า ไม่ได้เช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์แต่ได้ครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเนื่องจากโจทก์กับจำเลยเป็นหุ้นส่วนกันในห้างหุ้นส่วนจำกัดลี่ข่วนหลี ต่อมาได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยโจทก์ตกลงจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 17140 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยในราคา 3,500,000 บาท และจำเลยจะต้องรับโอนที่ดินและชำระราคาให้โจทก์ภายในวันที่ 3 กรกฎาคม 2533 หากครบกำหนดจำเลยไม่รับโอนและชำระราคา จำเลยยอมออกจากที่พิพาทและยอมให้โจทก์เรียกค่าเสียหาย ทั้งยังมีข้อตกลงให้โจทก์และจำเลยรับผิดในหนี้ร่วมกันของห้างหุ้นส่วนจำกัดลี่ข่วนหลีต่อบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อุตสาหกรรม จำกัด คนละครึ่ง แต่ทั้งนี้โจทก์รับผิดร่วมไม่เกินวงเงิน 1,550,000 บาท หากจำเลยใช้หนี้แล้วโจทก์ไม่ยอมรับผิดในหนี้ให้จำเลยดำเนินการบังคับคดีได้ทันทีศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอม ต่อมาจำเลยยื่นคำขอให้ออกหมายบังคับคดีแก่โจทก์ จำเลยได้ชำระหนี้ค่าอาหารสัตว์ให้แก่บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อุตสาหกรรม จำกัด ไปแล้วแต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งออกหมายบังคับคดี
โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ไม่เคยปฏิบัติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยไม่เคยชำระหนี้ให้แก่บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อุตสาหกรรมจำกัด ขอให้ยกคำร้องของจำเลยและเพิกถอนหมายบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์ ให้บังคับคดีเอาแก่โจทก์เพื่อให้ชำระเงินจำนวน 1,000,000 บาท แก่จำเลย พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาโจทก์มีเพียงว่า โจทก์ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ ปัญหานี้ปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 3 มีใจความว่า จำเลยและหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดลี่ข่วนหลีเป็นหนี้ค่าอาหารสัตว์กับบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อุตสาหกรรม จำกัด โจทก์ขอรับผิดชดใช้หนี้ร่วมกับจำเลยครึ่งหนึ่ง ทั้งนี้ไม่เกินวงเงิน 1,550,000 บาท หากบริษัทบังคับให้จำเลยชำระหนี้แล้ว โจทก์ไม่ยอมรับผิด หนี้ดังกล่าวก็ยอมให้จำเลยบังคับคดีได้ทันที เห็นว่า แม้สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความกล่าวเฉพาะหนี้ค่าอาหารสัตว์ของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อุตสาหกรรม จำกัด โดยไม่ได้ระบุถึงหนี้ค่าอาหารสัตว์ของบริษัทกรุงเทพฯ อาหารสัตว์ จำกัด ก็ตามแต่จำเลยนำสืบได้ความว่า บริษัทกรุงเทพฯ อาหารสัตว์ จำกัดเป็นบริษัทในเครือของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อุตสาหกรรม จำกัดค้าขายสินค้าประเภทเดียวกัน มีที่อยู่ที่เดียวกันบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อุตสาหกรรม จำกัด มีกรรมการบริหารชุดเดียวกันทั้งตามใบกำกับสินค้าเอกสารหมาย ล.8 แต่ละฉบับก็เป็นแบบพิมพ์เหมือนกันซึ่งมีทั้งออกในนามทั้งสองบริษัท แต่มีระบุว่าให้สั่งจ่ายเงินค่าสินค้าในนามบริษัทกรุงเทพฯ อาหารสัตว์ จำกัด เท่านั้นหนี้สินตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ระบุว่าเป็นหนี้บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อุตสาหกรรม จำกัด ก็คือหนี้รายเดียวกันกับที่จำเลยชำระให้บริษัทกรุงเทพฯ อาหารสัตว์ จำกัด นั่นเองเมื่อจำเลยชำระหนี้รายดังกล่าวแล้วจำนวน 2,000,000 บาทโจทก์ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยครึ่งหนึ่งตามข้อประนีประนอมยอมความข้อ 3 การที่จำเลยได้ทวงถามโจทก์แล้ว โจทก์เพิกเฉย โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดนัด ผิดข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลได้พิพากษาคดีตามยอมแล้ว จำเลยชอบจะใช้สิทธิบังคับคดีแก่โจทก์ได้
พิพากษายืน

Share