คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2824/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายกับภริยาจำเลยเคยลักลอบได้เสียกันในทุ่งนามาแล้ว 2 ครั้ง ผู้ใหญ่บ้านได้เรียกผู้เสียหายมาว่ากล่าวตักเตือนหลายครั้งผู้เสียหายก็รับปากว่าจะเลิกคบชู้กับภริยาจำเลย หากไม่เลิกยอมให้จำเลยยิงในวันเกิดเหตุจำเลยเห็นผู้เสียหายอยู่ตามลำพังกับภริยาจำเลยในป่าละเมาะจำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายกับภริยาจำเลยลักลอบเป็นชู้กันอีก จำเลยจึงเกิดโทสะใช้ปืนยิงผู้เสียหายดังนี้ เป็นการที่จำเลยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงว่าผู้เสียหายลักลอบเป็นชู้กับภริยาจำเลยอีก อันเป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุร้ายแรงอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ประกอบด้วยมาตรา 62 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 และริบของกลาง
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 ให้ลงโทษจำคุก 10 ปี คำให้การจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก6 ปี 8 เดือน ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 ประกอบมาตรา 72 ให้จำคุก 6 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป้นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์เพียงว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่ เห็นว่า ในวันเกิดเหตุผู้เสียหายยังมิได้ล่วงเกินภริยาจำเลยในทำนองชู้สาวแต่อย่างใด เพราะปรากฏจากแผนที่เกิดเหตุเอกสารหมายจ.3 ซึ่งจำเลยลงชื่อรับรองความถูกต้องไว้ด้วยว่า ขณะที่จำเลยยิงผู้เสียหายนั้นผู้เสียหายอยู่ห่างจากภริยาจำเลย และตามคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยเอกสารหมาย จ.11 จำเลยก็ได้ให้การว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยเห็นผู้เสียหายยืนห่างจากภริยาจำเลยประมาณ 8 เมตร คนทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ ฉะนั้นที่จำเลยนำสืบว่าผู้เสียหายเข้าไปจับแขนภริยาจำเลย จึงรับฟังไม่ได้ แต่จำเลยนำสืบว่า สาเหตุที่จำเลยใช้อาวุธปืนที่ถือมายิงผู้เสียหาย เนื่องมาจากผู้เสียหายกับภริยาจำเลยเคยลักลอบได้เสียกันในทุ่งนามาแล้ว 2 ครั้ง และผู้เสียหายรับปากว่าจะเลิกคบชู้กับภริยาจำเลยหากไม่เลิกยอมให้จำเลยยิง ซึ่งผู้เสียหายเองก็เบิกความยอมรับ และนายสีดา อินชิตผู้ใหญ่บ้านซึ่งมาเบิกความเป็นพยานโจทก์ก็เบิกความว่า เมื่อต้นปีเกิดเหตุผู้เสียหายเป็นชู้กับภริยาจำเลยโดยได้ร่วมประเวณีกันที่บริเวณที่นาของจำเลย พยานจึงเรียกผู้เสียหายมาว่ากล่าวตักเตือน ครั้งสุดท้ายผู้เสียหายได้สัญญาต่อหน้าพบว่าจะไม่ล่วงเกินภริยาจำเลยอีกหากล่วงเกินยอมให้จำเลยยิงได้ และพยานตักเตือนผู้เสียหายถึง 3 ครั้ง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบ การที่จำเลยเห็นผู้เสียหายอยู่ตามลำพังกับภริยาจำเลยในป่าละเมาะในวันเกิดเหตุ จำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายกับภริยาจำเลยลักลอบเป็นชู้กันอีกทั้งที่เคยรับปากกับจำเลยต่อหน้านายสีดาผู้ใหญ่บ้านแล้วว่าหากเป็นชู้กันอีกยอมให้จำเลยฆ่าได้ จำเลยจึงเกิดโทสะใช้ปืนยิงผู้เสียหาย ดังนี้ เป็นการที่จำเลยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงว่าผู้เสียหายลักลอบเป็นชู้กับภริยาจำเลยอีก อันเป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุร้ายแรงอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ประกอบด้วยมาตรา 62 วรรคแรก
พิพากษายืน

Share