คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2109/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ย. พยานโจทก์ทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานะอธิการบดีของโจทก์รู้ถึงความตายของ ว. ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2527 ทั้งยังปรากฏว่ารองอธิการบดีของโจทก์ในฐานะผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีของโจทก์ได้ มีหนังสือถึงราชเลขาธิการขอพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ศพของ ว. เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2528 แสดงว่าโจทก์รู้ถึงการตายของ ว. อย่างช้าเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2528 โจทก์ฟ้องทายาทของ ว. ให้ชำระหนี้ของ ว. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2529 พ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงความตายของ ว. ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ขณะที่นายวิภาต วังซ้าย ดำรงตำแหน่งอธิการบดีของโจทก์ได้ยืมเงินทดรองปฏิบัติราชการไปจำนวน ๙๒ ครั้ง เป็นเงิน ๓๗๕,๙๐๕ บาท ต่อมานายวิภาตได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้เงินยืมจำนวน ๓๒๑,๕๐๕.๐๑ บาทไว้ต่อโจทก์ แต่ไม่ชำระหนี้ ครั้นวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๒๘ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นภรรยาของนายวิภาต และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ซึ่งเป็นบุตรของนายวิภาต ได้ยื่นแบบขอรับบำเหน็จของนายวิภาตต่อโจทก์ว่านายวิภาตถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๒๗ โจทก์จึงทราบว่านายวิภาตถึงแก่ความตายและรู้ตัวทายาทในวันดังกล่าว จำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทของนายวิภาตต้องร่วมกันชำระหนี้เงินยืมดังกล่าวให้แก่โจทก์ โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยทั้งห้าเพิกเฉย ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงิน ๓๒๑,๕๐๕.๐๑ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งห้าให้การว่า โจทก์ทราบถึงการตายของนายวิภาตแล้วตั้งแต่วันที่นายวิภาตถึงแก่ความตาย คดีจึงขาดอายุความ นายวิภาตมิได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง จำเลยมิได้มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ โจทก์บรรยายฟ้องและมีคำขอให้จำเลยทั้งห้ารับผิดเป็นส่วนตัว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ได้ ๒ ปาก แล้วมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ที่เหลือวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้นข้อเท็จจริงฟังได้แน่ชัดว่า นายวิภาต บุญศรี วังซ้าย ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๒๗ นายยรรยง สิทธิชัย เบิกความรับว่า พยานไปร่วมพิธีสวดศพของนายวิภาตเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๗ หลังจากนายวิภาตถึงแก่กรรมประมาณ ๒ – ๓ วัน ขณะที่พยานดำรงตำแหน่งอธิการบดีของโจทก์ จึงฟังได้ว่าพยานรู้ถึงความตายของนายวิภาตเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๗ เมื่อพยานเป็นอธิการบดีของโจทก์ในขณะที่พยานรู้ถึงความตายของนายวิภาต แม้พยานจะอ้างว่าพยานไปในพิธีศพในฐานะส่วนตัวก็ตามจะฟังว่าพยานในฐานะส่วนตัวรู้ถึงความตายของนายวิภาตในวันดังกล่าว แต่พยานในฐานะอธิการบดีของโจทก์ไม่รู้ถึงความตายของนายวิภาตในวันดังกล่าวย่อมขัดต่อความเป็นจริง กรณีเช่นนี้ศาลฎีกาเห็นว่า พยานทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานะอธิการบดีของโจทก์รู้ถึงความตายของนายวิภาตตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๗ จึงฟังได้ว่าโจทก์รู้ถึงความตายของนายวิภาตเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๗ นอกจากนี้ยังได้ความจากนายสุภร เกตุวราภรณ์ พยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งเป็นรองอธิการบดีของโจทก์ว่า พยานในฐานะผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีของโจทก์ได้มีหนังสือถึงราชเลขาธิาการขอพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ศพของนายวิภาต เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๒๘ ปรากฏตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย ล.๗ ซึ่งชี้ให้เห็นเป็นลายลักษณ์อักษรว่า โจทก์รู้ถึงความตายของนายวิภาตอย่างช้าเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๒๘ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๒๙ พ้นกำหนด ๑ ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงความตายของนายวิภาต ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๕๔ วรรคสาม
พิพากษายืน.

Share