คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2660/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ขอให้ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองจำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินพิพาทจึงมีประเด็นพิพาทกันว่าฝ่ายใดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะให้จำเลยและบริวารเข้าไปปลูกสร้างอาคารในที่ดินพิพาทก่อนคดีถึงที่สุดกรณีมีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา254(2)มาใช้โดยห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปดำเนินการใดๆในที่ดินพิพาทจนกว่าคดีถึงที่สุด

ย่อยาว

คดี สืบเนื่อง จาก โจทก์ ทั้ง หก ฟ้อง ว่า โจทก์ ทั้ง หก กับ นาย วัฒนา เป็น เจ้าของ ผู้ครอบครอง และ ทำประโยชน์ ใน ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 483โดย ได้รับ มรดก ตกทอด จาก นาง จำรัส มารดา ต่อมา โจทก์ ทั้ง หก กับ นาย วัฒนา ได้ ร่วมกัน ยื่น คำขอ รังวัด ออก โฉนด ที่ดิน แปลง ดังกล่าว ต่อ เจ้าพนักงาน ที่ดิน จังหวัด ระยอง จำเลย ซึ่ง ไม่มี ส่วน เกี่ยวข้องได้ ยื่น คำคัดค้าน การ ขอ รังวัด ออก โฉนด ที่ดิน แปลง ดังกล่าว เป็นเหตุ ให้โจทก์ ทั้ง หก กับ นาย วัฒนา ได้รับ ความเสียหาย ไม่ได้ รับ การ ออก โฉนด ที่ดิน ไม่สามารถ ทำนิติกรรม และ แสวงหา ประโยชน์ จาก ที่ดินแปลง ดังกล่าว อย่าง ที่ดิน มี โฉนด ได้ ขอให้ห้าม จำเลย กับ บริวารเข้า เกี่ยวข้อง หรือ รบกวน การ ครอบครอง ใน ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 483และ ให้ จำเลย ชดใช้ ค่าเสียหาย
จำเลย ให้การ ว่า ที่ดินพิพาท เป็น ของ นาย วัฒนา บิดา ของ จำเลย โดย ได้รับ การ ยกให้ จาก นาง จำรัส ขณะ มี ชีวิต อยู่ นาย วัฒนา ได้ ยก ที่ดินพิพาท ด้าน ทิศตะวันออก และ ทิศตะวันตก ให้ แก่ จำเลย ตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ 2526 จำเลย ได้ เข้า ครอบครอง และ ทำประโยชน์ เรื่อย มาจน ถึง ปัจจุบัน โจทก์ ทั้ง หก ไม่เคย ครอบครอง ที่ดินพิพาท มา ก่อนการ ที่ จำเลย ยื่น คำคัดค้าน รังวัด ออก โฉนด ที่ดินพิพาท เป็น การ ใช้ สิทธิโดยสุจริต โจทก์ ทั้ง หก ไม่เสีย หาย โจทก์ ทั้ง หก ฟ้องคดี นี้ เกิน 1 ปีนับแต่ จำเลย ครอบครอง ที่ดินพิพาท จึง ไม่มี สิทธิ ฟ้อง เรียกคืนขอให้ ยกฟ้อง
ระหว่าง พิจารณา โจทก์ ทั้ง หก ยื่น คำร้องขอ ให้ ศาล มี คำสั่ง ห้ามจำเลย กับ บริวาร มิให้ กระทำการ ใด ๆ ใน ที่ดินพิพาท เป็น การ ชั่วคราวก่อน พิพากษา
ศาลชั้นต้น มี คำสั่ง ให้ยก คำร้อง
โจทก์ ทั้ง หก อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ทั้ง หก ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า คดี นี้ แม้ ตาม คำฟ้อง จะ อ้าง เพียง ว่าจำเลย เข้า เกี่ยวข้อง กับ ที่ดินพิพาท ซึ่ง เป็น ของ โจทก์ ทั้ง หก กับพวกด้วย การ ยื่น คำคัดค้าน ขอ รังวัด ออก โฉนด ที่ดินพิพาท ขอให้ห้าม จำเลยเข้า เกี่ยวข้อง และ รบกวน การ ครอบครอง ที่ดินพิพาท ก็ ตาม แต่เมื่อจำเลย ให้การ ต่อสู้ ว่า จำเลย เป็น ผู้มีสิทธิ ครอบครอง เหนือ ที่ดินพิพาทคดี จึง มี ประเด็น พิพาท กัน ว่า ฝ่ายใด เป็น ผู้มีสิทธิ ครอบครอง ในที่ดินพิพาท ซึ่ง คดี อยู่ ใน ระหว่าง พิจารณา โดย ยัง ไม่มีคำวินิจฉัย ชี้ขาด ใน ประเด็น ดังกล่าว การ ที่ จำเลย ยินยอม ให้ ผู้มีชื่อเช่า ที่ดินพิพาท ส่วน หนึ่ง ด้าน ทิศตะวันตก เนื้อที่ 1 ไร่ ปลูกสร้างอาคาร ร้านค้า วัสดุ ก่อสร้าง ภายหลัง ยื่นฟ้อง แล้ว อันเป็น การกระทำขึ้น ใหม่ ซึ่ง อาจ ก่อ ให้ เกิด ความเสียหาย แก่ โจทก์ ทั้ง หก ได้ หาก ศาลพิพากษา ให้ โจทก์ ทั้ง หก เป็น ฝ่าย ชนะคดี จึง ไม่มี เหตุสมควร ที่ จะ ให้จำเลย และ บริวาร เข้า ไป ปลูกสร้าง อาคาร ใน ที่ดินพิพาท ก่อน คดีถึงที่สุดกรณี มีเหตุ สมควร และ เพียงพอ ที่ จะ นำ วิธี คุ้มครอง ตาม ประมวล กฎหมายวิธีพิจารณา ความ แพ่ง มาตรา 254(2) ตาม คำขอ ของ โจทก์ มา ใช้
พิพากษากลับ เป็น ว่า ห้าม จำเลย และ บริวาร เข้า ไป ดำเนินการ ใด ๆต่อไป ใน ที่ดินพิพาท จนกว่า คดีถึงที่สุด

Share