แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าอาคารของวัด จ.ได้ตกลงโอนสิทธิการเช่าอาคารดังกล่าวให้โจทก์ ซึ่งผู้ให้เช่ายินยอมด้วย และตกลงทำสัญญาเช่าดังกล่าวให้โจทก์ หลังจากโจทก์ได้ทำสัญญาเช่ากับผู้ให้เช่าแล้ว จำเลยหาได้ส่งมอบอาคารดังกล่าวให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินพร้อมส่งมอบอาคารดังกล่าว ให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและชดใช้ค่าเสียหาย ดังนี้คำฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ข้อความที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้นั้นเป็นเพียงรายละเอียดซึ่งโจทก์มีสิทธินำพยานหลักฐานมาสืบในชั้นพิจารณา ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานจำเลยนัดแรก เมื่อถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าทนายจำเลยป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลย ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2530จำเลยนำพยานมาสืบเพียงปากเดียว ศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยในวันที่ 3 และ 24 กันยายน 2530 ซึ่งจำเลยนำพยานมาสืบเพียงวันละ 1 ปาก ศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยในวันที่ 5และ 19 พฤศจิกายน 2530 จำเลยมีพยานมาสืบในวันที่ 5 พฤศจิกายน2530 เพียงปากเดียว ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานที่เหลือในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2530 โดยกำชับให้จำเลยนำพยานมาสืบให้เสร็จเมื่อถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีโดยอ้างว่าพยานป่วยกระทันหันเป็นโรคท้องร่วงอย่างแรง โดยมิได้ส่งใบรับรองแพทย์ต่อศาล ดังนี้ พฤติการณ์ในการดำเนินคดีดังกล่าวของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและให้งดสืบพยานชอบแล้ว นางสาวก.เป็นพยานคู่กับโจทก์ซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์ร่วมกันแต่เบิกความคนละวันกัน เป็นไปตามกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและทนายจำเลยได้ถามค้านพยานปากนี้แล้ว จำเลยจึงไม่เสียเปรียบเมื่อศาลเห็นว่าคำเบิกความของนางสาวก.เป็นที่เชื่อถือได้ก็ชอบที่จะรับฟังคำเบิกความของนางสาวก.ได้ ข้อเท็จจริงตามเอกสารบางฉบับ โจทก์เพียงใช้ประกอบคำเบิกความของพยาน มิได้เป็นประเด็นโต้เถียงกันในคดีและเอกสารบางฉบับจำเลยก็ยอมรับข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในเอกสารนั้นแล้ว แม้โจทก์มิได้ส่งต้นฉบับเอกสารดังกล่าวต่อศาลหรือมิได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่จำเลย ศาลย่อมรับฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงโอนสิทธิการเช่าอาคารให้แก่โจทก์ซึ่งผู้ให้เช่ายินยอมด้วยแล้ว ผู้ให้เช่าจึงตกลงทำสัญญาเช่าอาคารดังกล่าวให้โจทก์ จำเลยตกลงจะขนย้ายทรัพย์สินพร้อมด้วยบริวารออกจากอาคารและส่งมอบอาคารดังกล่าวให้โจทก์ในวันที่โจทก์ทำสัญญาเช่ากับผู้ให้เช่า แต่หลังจากโจทก์ทำสัญญาเช่ากับผู้ให้เช่าแล้วจำเลยไม่ส่งมอบอาคารดังกล่าวให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินพร้อมทั้งส่งมอบอาคารให้แก่โจทก์ และชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อปี 2518 จำเลยทำหนังสือสัญญาเช่าอาคารของวัดจักรวรรดิราชาวาส จำเลยโอนสิทธิการเช่าอาคารดังกล่าวให้แก่โจทก์เพื่อค้ำประกันการชำระหนี้จำนวน610,000 บาทให้โจทก์ แต่โจทก์ก็ไม่ชำระหนี้จำนวน 610,000 บาทแก่จำเลย โจทก์เองเป็นฝ่ายผิดสัญญา ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายขอให้ยกฟ้องของโจทก์ และบังคับให้โจทก์ชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ชำระค่าโอนสิทธิการเช่า610,000 บาท ให้จำเลยครบถ้วนแล้ว ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินพร้อมส่งมอบอาคารเลขที่ 195 ถนนจักรวรรดิ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ในสภาพที่เรียบร้อย ให้จำเลยและบริวารใช้ค่าเสียหาย 40,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหายอีกเดือนละ 5,000 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะส่งมอบอาคารให้แก่โจทก์ในสภาพที่เรียบร้อยส่วนฟ้องแย้งของจำเลยให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ตามที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันและไม่โต้เถียงกันว่า อาคารพิพาทคือตึกแถวเลขที่ 195 ถนนจักรวรรดิ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์กรุงเทพมหานคร เป็นอาคารของวัดจักรวรรดิราชาวาสตั้งอยู่ริมถนนจักรวรรดิซึ่งเป็นถนนใหญ่ในบริเวณสำเพ็งและอยู่ใกล้ที่จอดรถโดยสารประจำทาง เดิมจำเลยเป็นผู้เช่าอาคารพิพาทจากวัดจักรวรรดิราชาวาส นายวิธาน จิระกันศักดิ์เจิรญ สามีจำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีมณีวัฒน์ เป็นหนี้เงินกู้ยืมโจทก์เป็นเงิน 1,890,000 บาท ได้มอบเช็ครวม 8 ฉบับของห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีมณีวัฒน์ซึ่งนายวิธานลงชื่อแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวสั่งจ่ายเงินรวม 1,890,000 บาท ให้โจทก์ไว้ ในปี 2528 โจทก์ตกลงรับโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทจากจำเลยในราคา 2,500,000 บาท โดยตกลงหักหนี้จำนวน 1,890,000 บาทที่นายวิธานเป็นหนี้โจทก์ดังกล่าว และจะชำระเงินส่วนที่เหลือจำนวน 610,000 บาท ให้แก่จำเลย โจทก์ได้รับโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทจากจำเลยโดยทำสัญญาเช่าอาคารพิพาทกับวัดจักรวรรดิราชาวาสเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2528 แล้วโจทก์ได้ทำสัญญาเช่าอาคารดังกล่าวต่อมาจนปัจจุบันโดยจำเลยยังคงอยู่ในอาคารพิพาท
ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าอาคารเลขที่ 195 ถนนจักรวรรดิแขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ของวัดจักรวรรดิราชาวาส ได้ตกลงโอนสิทธิการเช่าอาคารดังกล่าวให้โจทก์ ซึ่งผู้ให้เช่ายินยอมด้วย และได้ตกลงทำสัญญาเช่าอาคารดังกล่าวให้โจทก์ แต่จำเลยซึ่งตกลงจะขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากอาคารดังกล่าวพร้อมทั้งส่งมอบให้กับโจทก์ในวันที่โจทก์ได้ทำสัญญาเช่ากับผู้ให้เช่า แต่หลังจากโจทก์ได้ทำสัญญาเช่ากับผู้ให้เช่าแล้ว จำเลยหาได้ส่งมอบอาคารดังกล่าวให้แก่โจทก์ไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินพร้อมทั้งส่งมอบอาคารให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์จนกว่าจะส่งมอบอาคารดังกล่าวให้โจทก์เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง แล้ว ข้อความที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้นั้นเป็นแต่เพียงรายละเอียดซึ่งโจทก์มีสิทธินำพยานหลักฐานมาสืบในชั้นพิจารณา ไม่จำต้องบรรยายไว้ในคำฟ้อง คำฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุมแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีไปสืบพยานปากนายวิธาน จิระกันศักดิ์เจริญ สามีจำเลย และมีคำสั่งให้งดสืบพยานปากนี้ ทั้ง ๆ ที่จำเลยได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีต่อศาลชั้นต้นแล้วว่านายวิธานป่วยเป็นโรคท้องร่วงอย่างแรงไม่สามารถมาเป็นพยานศาลได้ ขอให้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบนายวิธานนั้น ในปัญหานี้ปรากฏว่า หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานจำเลยนัดแรกในวันที่ 12 มิถุนายน 2530 เมื่อถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี อ้างว่าทนายความจำเลยป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยในวันที่29 กรกฎาคม 2530 ซึ่งจำเลยก็นำพยานมาสืบเพียงปากเดียว ศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยในวันที่ 3 และ 24 กันยายน 2530 ในวันดังกล่าวจำเลยนำพยานมาสืบเพียงวันละหนึ่งปาก ศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยในวันที่ 5 และ 19 พฤศจิกายน 2530 จำเลยมีพยานมาสืบในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2530 เพียงปากเดียวแล้วขอเลื่อนไปสืบพยานที่เหลืออีกเพียงปากเดียว ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2530ศาลชั้นต้นอนุญาตโดยกำชับให้จำเลยนำพยานมาสืบให้เสร็จในวันดังกล่าวโดยไม่ขอเลื่อนอีก แต่เมื่อถึงวันนัดจำเลยก็ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีโดยอ้างว่านายวิธานป่วยกระทันหันเป็นโรคท้องร่วงอย่างแรงไม่สามารถมาศาลได้โดยมิได้ส่งใบรับรองแพทย์ต่อศาลแต่อย่างใด ศาลชั้นต้นเห็นว่าได้กำชับแล้วจะไม่ให้จำเลยเลื่อนคดีอีกพยานปากนี้เป็นสามีจำเลย หากจำเลยตั้งใจจะสืบจริงจังก็ควรจะนำมาสืบได้ในคราวก่อน ๆ จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและให้งดสืบพยานปากนายวิธาน ศาลฎีกาเห็นว่าพฤติการณ์ในการดำเนินคดีดังกล่าวของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวนั้น จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ที่จำเลยฎีกาว่า นางสาวกิ่งกาญจน์ ลิปิพันธุ์ เป็นพยานคู่กับโจทก์ ทนายโจทก์นำนางสาวกิ่งกาญจน์มาเบิกความในวันหลังที่ตัวโจทก์เบิกความแล้ว ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการดำเนินคดีศาลไม่ควรรับฟังคำเบิกความของนางสาวกิ่งกาญจน์ นั้น เห็นว่านางสาวกิ่งกาญจน์รู้เห็นเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในประเด็นโดยตรงแห่งคดีและโจทก์ได้ระบุอ้างเป็นพยานโดยชอบแล้ว แม้นางสาวกิ่งกาญจน์เป็นพยานคู่กับโจทก์ซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์ร่วมกันแต่เบิกความคนละวันก็เป็นไปตามกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและทนายจำเลยได้ถามค้านพยานปากนี้แล้ว จำเลยจึงไม่เสียเปรียบเมื่อศาลเห็นว่าคำเบิกความของนางสาวกิ่งกาญจน์เป็นที่เชื่อถือได้ก็ชอบที่จะรับฟังคำเบิกความของนางสาวกิ่งกาญจน์ได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้ส่งต้นฉบับเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.12จ.18 จ.19 และ จ.25 เป็นพยานต่อศาล ทั้งมิได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้จำเลยทราบก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวันขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 และมาตรา 90 จึงรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้นเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่โจทก์ค้างชำระค่าโอนสิทธิการเช่าแก่จำเลยจำนวน 610,000 บาทจริงหรือไม่ และโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ กับโจทก์เสียหายหรือไม่เอกสารหมาย จ.1 และ จ.18 เป็นสำเนาภาพถ่ายหนังสือเช่าระหว่างวัดจักรวรรดิราชาวาสกับโจทก์ เอกสารหมาย จ.2 เป็นสำเนาภาพถ่ายหนังสือของจำเลยที่มีไปถึงวัดจักรวรรดิราชาวาสขอโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์เอกสารหมาย จ.3 เป็นสำเนาภาพถ่ายเช็คของโจทก์จำนวนเงิน 300,000 บาท โดยมีข้อความเขียนว่าได้รับเช็คดังกล่าวไปจากโจทก์แล้ว ลงชื่อวิธานเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.11เป็นต้นฉบับเช็คของจำเลยจำนวน 8 ฉบับ ซึ่งจำเลยมอบให้โจทก์เป็นประกันหนี้เงินยืม เอกสารหมาย จ.12 เป็นสำเนาภาพถ่ายหนังสือของพระศรีกิตติโสภณถึงเจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิราชาวาส แจ้งเรื่องการโอนสิทธิการเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลย เอกสารหมาย จ.19เป็นสำเนาภาพถ่ายใบอนุโมทนาบัตรและเอกสารหมาย จ.25 เป็นสำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาเช่าระหว่างวัดจักรวรรดิราชาวาสกับจำเลยเห็นได้ว่าเอกสารบางฉบับโจทก์อ้างส่งต้นฉบับต่อศาลแล้วเช่นเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.11 ทั้งข้อเท็จจริงตามเอกสารหมาย จ.1จ.4 ถึง จ.11 จ.18 จ.19 และ จ.25 โจทก์เพียงใช้ประกอบคำเบิกความของพยาน มิได้เป็นประเด็นโต้เถียงกันในคดี ส่วนเอกสารหมาย จ.2จ.3 และ จ.12 จำเลยก็ยอมรับข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในเอกสารนั้นแล้วนอกจากนี้ เอกสารบางฉบับเช่น เอกสารหมาย จ.2 จ.12 และ จ.25ก็เป็นเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของวัดจักรวรรดิราชาวาสหรือจำเลย ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่ได้ส่งต้นฉบับเอกสารดังกล่าวต่อศาลหรือมิได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่จำเลย ศาลย่อมรับฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน