แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 เบิกความสองครั้งในคดีเดียวกันคือวันที่ 26 มิถุนายน 2553 และวันที่ 1 ธันวาคม 2555 แม้จะเป็นการเบิกความคนละคราวต่างเวลากันก็ตาม แต่ก็เป็นการนำสาระสำคัญของข้อความในเรื่องเดียวกัน มูลเหตุเดียวกันมากล่าวอีกครั้งโดยมีเจตนาให้โจทก์ต้องโทษในคดีเดียวกันเท่านั้น จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกันอันเป็นการกระทำกรรมเดียว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 175 และ 177
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า คดีมีมูลเฉพาะจำเลยที่ 2 ประทับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง จำคุก 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับ ให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 2 เดือน ไม่ลงโทษปรับและไม่รอการลงโทษจำคุก แต่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดสองกรรมหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดฐานเบิกความเท็จของจำเลยที่ 2 ตามฟ้องข้อ 4 รวมกันมาในข้อเดียวกันโดยบรรยายฟ้องในข้อดังกล่าวว่า เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2553 และวันที่ 1 ธันวาคม 2554 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน… ซึ่งเป็นการบรรยายฟ้องที่ระบุแล้วว่าการกระทำความผิดฐานเบิกความเท็จของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามที่โจทก์บรรยายฟ้องก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 2 เบิกความสองครั้งในคดีเดียวกันคือวันที่ 26 มิถุนายน 2553 และวันที่ 1 ธันวาคม 2555 แม้จะเป็นการเบิกความคนละคราวต่างเวลากันก็ตาม แต่ก็เป็นการนำสาระสำคัญของข้อความในเรื่องเดียวกัน มูลเหตุเดียวกันมากล่าวอีกครั้งโดยมีเจตนาให้โจทก์ต้องโทษในคดีเดียวกันเท่านั้น จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกันอันเป็นการกระทำกรรมเดียว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อต่อไปว่า มีเหตุลงโทษจำเลยที่ 2 ในสถานหนักโดยไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนหรือไม่ และฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่ามีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานเบิกความเท็จกฎหมายมิเพียงแต่จะคุ้มครองสิทธิของคู่ความในคดี แต่ยังมุ่งคุ้มครองกระบวนพิจารณาคดีของศาลอีกด้วยเพื่อให้ศาลสามารถวินิจฉัยคดีได้อย่างถูกต้องเที่ยงธรรม การกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 มิได้เพียงอาจทำให้โจทก์ต้องได้รับโทษทางอาญา แต่ยังทำให้การรับฟังข้อเท็จจริงในคดีของศาลผิดไปจากความจริงด้วย พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 เป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยที่ 2 ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ก็ยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 2 ทั้งไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นโทษกักขังแทนด้วย แต่ที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 กระทงละ 4 ปี และปรับ 20,000 บาท นั้นหนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 และเมื่อลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 แล้ว ก็ไม่สมควรลงโทษปรับจำเลยที่ 2 อีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน แต่ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน ไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขัง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์